'แค่คุณหยิบมือถือถ่ายคลิปวิดีโอ เก็บเรื่องราวของผู้อื่นเอาไว้
อาจทำให้เกิดผลกระทบกับเขาคนนั้นแบบไม่คาดคิด'
จากอัษฎาวุธ ไชยวรรณ เรื่อง เมื่อวานนี้ที่เธอยังอยู่
แม้ดวงตาจะหลับสนิทอยู่ในนิทราแห่งราตรี ร่างผอมสูงนอนเหยียดยาวบนเบาะนุ่มสีคราม แม้แสงแดดจะสาดผ่านรูโหว่ของหน้าต่างเข้ามา ดูเหมือนเจ้าของร่างจะหลับลึกไม่สะทกสะท้านต่อแดดเช้า อาจเป็นเพราะฤทธิ์ยาแก้ปวดหัวเมื่อคืนที่เขากินไปสองเม็ดช่วยระงับอาการปวดหัวซึ่งสมองใช้งานหนักในการต่อสู้กับข้อสอบแบบตัวต่อตัว ไม่มีมิตร ไม่มีคำว่าเพื่อน มีแต่ศัตรูเท่านั้น ต่างคนต่างมีปากกาเป็นอาวุธ อยู่ที่ใครจะพิชิตข้อสอบเหล่านั้นได้ และเขาก็เป็นคนหนึ่งที่พ่ายแพ้ต่อสมรภูมิในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน
“ฟีฟ่า ตื่นได้แล้วลูก ตื่น นอนกินบ้านกินเมืองหรือไง” ตามมาด้วยเสียงเคาะประตูรัว หญิงวัยกลางคนใส่ผ้ากันเปื้อนสีฟ้าอ่อน กำลังหมุนลูกบิดประตูห้องลูกชาย เดินมุ่งตรงไปหาร่างที่นอนนิ่งสงบอยู่ เขย่าแขนสี่ห้าครั้งจนกระทั่งลูกชายตื่นขึ้นมา ด้วยท่าทางงัวเงีย
“แม่ทำกับข้าวมื้อเช้าไว้รอแล้ว” แม่เดินออกจากห้องอย่างเงียบ ๆ ขณะที่เขาลุกขึ้นบิดกายซ้ายขวา เอาหมอนข้าง ผ้าห่มซึ่งตกอยู่ที่พื้นมาวางบนเบาะนอนแล้วเดินออกจากห้อง
“แม่เมื่อวานสอบ โคตรยากเลย ข้อสอบใครออกก็ไม่รู้” ฟีฟ่าบ่นเนือย ๆ เกี่ยวกับการทำข้อสอบเมื่อวานที่โรงเรียนมีชื่อแห่งหนึ่งกลางเมืองหาดใหญ่ ทุกคะแนนจะมีค่าเป็นบัตรผ่านต่อเข้ามหาวิทยาลัย เขาเป็นหนุ่มน้อย ม.ปลายอายุสิบแปดที่ต้องทำภารกิจล่าคะแนน ความหวังของแม่และอนาคตของเขาฝากไว้กับข้อสอบ
“แล้วลูกอ่านหนังสือหรือยังที่ไปสอบเมื่อวาน” แม่ถามพลางอุ่นแกงส้มหมู สีส้มสวยในหม้อปะทุฟองอย่างเดือดเต็มที่ ไข่เจียวหมูสับวางอยู่บนโต๊ะรอช้อนส้อมตักเข้าปาก
“เพื่อนคนอื่น ๆ เค้าไปเรียนพิเศษทุกวัน แต่ผมไปหาซื้อหนังสือมาอ่านเอง” ลูกชายเธอตอบ แล้วหัวเราะดังลั่น ก่อนจะเข้าไปห้องน้ำ “อย่าเรียกว่าทำได้เลย เรียกว่าได้ทำน่าจะดีกว่า”
เสียงโทรศัพท์ดังลั่น พร้อมแสงไฟหลากสีกะพริบบนหน้าจอ ฟีฟ่าวิ่งเหยาะ ๆ มารับสาย สีหน้า แววตาสลดหดหู่ลง รอยยิ้มเมื่อแรกทักทายแม่จางหายไปพร้อมเสียงปลายสายที่โทรเข้ามา เสียงนั้นบอกเล่าเรื่องราวบางอย่างที่กำลังเป็นข่าวเกรียวกราว ฟีฟ่าใจหายวาบ กระหวัดคิดถึงเธอคนนั้น เขาวางสาย ค่อย ๆ นั่งลงบนโซฟา ดวงตานั้นเหม่อลอยไปไกลแสนไกล เหมือนกำลังทบทวนเรื่องราวที่พานพบเมื่อวานว่ามันได้เกิดอะไรขึ้น ใช่เธอหรือเปล่า
……………………
ดวงอาทิตย์หลับไหลในอ้อมกอดหลืบเมฆ รอบกายเงียบสงบ อากาศยามรุ่งอรุณเย็นสบาย เข็มนาฬิกาบนฝาผนังบ่งชี้เวลาราวตีห้า หนุ่มน้อยสาละวนอยู่กับการรีดชุดนักเรียน เตารีดร้อนฉ่าสัมผัสเนื้อผ้าที่ยับยู่ยี่ด้วยแรงซักมือ ค่อย ๆ เรียบตามลำดับ เสื้อนักเรียนกับกางเกงสีน้ำเงินเข้มอยู่ในสภาพเรียบร้อย วันนี้เป็นสำคัญอีกวันหนึ่งสำหรับนักเรียนมอหกอย่างเขา แม้ไม่ได้ระบุไว้ในปฏิทิน แต่ได้ถูกบันทึกไว้ในหัวใจของเด็กม.ปลายอยู่เสมอว่า อนาคตและความฝันฝากไว้กับวันนี้
พอเขาอาบน้ำ แต่งตัวเสร็จ ไม่รอช้าก็สำรวจอุปกรณ์ในการสอบ ดินสอสองบี ยางลบ บัตรประจำตัวผู้สอบ และสนามสอบว่าได้สอบที่ไหน กว่าจะออกจากบ้านก็เลยหกโมงเช้า ในสมองของเขาตอนนี้บรรจุความรู้พอสมควร แม้ไม่ได้เรียนพิเศษหรือติวในตัวเมืองเหมือนอย่างเพื่อนร่วมรุ่น แต่การหมั่นฝึกปรือทำข้อสอบเอง โดยหาซื้อหนังสือแนวข้อสอบปีก่อน ๆ มาเป็นครูแนะแนวทางจึงทำให้ พอรู้วิธีการตอบ เขาเตรียมตัวล่วงหน้าเป็นเดือน ๆ ตั้งแต่เรียนม.ต้นจนถึงม.ปลาย เขาไม่เคยเรียนพิเศษเลย อาจเป็นเพราะ เขามีความมุมานะที่จะประลองสมองในสมรภูมิสอบครั้งนี้ ด้วยการกำชัยเหนือข้อสอบ
เขาคงได้คณะที่ใช่ มหาลัยที่ชอบอย่างที่วาดหวังไว้
จนกระทั่งมาถึงสี่แยกหน้าโรงเรียนที่เป็นสนามสอบ บิดรถมอเตอร์ไซค์ไปจอดริมกำแพง ภาพเบื้องหน้าเห็นแต่ชุดนักเรียนสีขาวละลานตา รถที่จอดอยู่ก่อนหน้าก็สุดลูกหูลูกตา ความมั่นใจหล่นหายไปตามรายทางบ้าง เป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะตื่นคน ทุกคนเดินมุ่งตรงไปที่ป้ายประกาศรายชื่อนักเรียนที่มีสิทธิ์สอบอยู่หน้าอาคาร เมื่อรู้แน่ชัดแล้วว่าสอบห้องไหนเขาก็เดินทะเล่อทะล่าหาห้องไปตามประสาของคนไม่รู้เส้นทาง เขารู้สึกว้าเหว่เหลือเกิน หันไปทางไหนก็ไม่มีเพื่อนคนคุ้นตาสักคน เขาเหลือบดูนาฬิกาข้อมือกว่าจะเข้าห้องสอบอีกสามชั่วโมงกว่า
แดดสายระบายผืนฟ้า เสียงจอแจดังลั่นอยู่เสมอ ร่มไม้ใต้ต้นไทรแผ่กิ่งก้านสาขาบังแดด ม้านั่งสีขาววางประดับเคียงต้น เขาดุ่มเดินอย่างดายเดียวไปใต้ไทรต้นนั้น วางกระเป๋าลงบนโต๊ะ เขารู้สึกหวาดกลัว ต่อสายตาทุกคู่ที่มองผ่าน กลัวว่าจะทำข้อสอบไม่ได้ นักเรียนมากหน้าหลายตาต่างมาประลองกันอย่าง พร้อมเพรียง คนอื่น ๆ มากันเป็นแกงค์ได้นั่งหัวเราะ พูดคุยกันตามประสา เขาอยากมีเพื่อนบ้างสักคน หัวใจเริ่มหวาด ๆ หวั่น ๆ เสียแล้ว
“หวัดดีค่ะ” เสียงหวาน ๆ ดังมาจากด้านหลังเขา มือปริศนานั้นค่อย ๆ เอื้อมมาสะกิดไหล่แผ่วเบา “ขอนั่งด้วยคนนะ” ฟีฟ่าไม่ทันจะพูดตอบแต่อย่างไร ยิ้มงามผลิแต้มดวงหน้าของสาวคนนั้น และดวงตาคู่งามนั้นก็หันมาสบตาเขาพอดิบพอดี
“ตามสบายครับ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงแจ่มใส แม้จะแผ่ว ๆ ไปบ้าง พลางเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าลงมาตั้งบนตัก
“นาย ชื่ออะไร” หญิงสาวผิวขาวสะดุดตา ร่างอวบ ๆ มีน้ำมีนวล แต่งตัวสะอาดสะอ้านถามเขา “เราชื่อฟีฟ่า” ตอบกลับด้วยรอยยิ้มหวาน “แล้วเธอล่ะชื่ออะไร”
“ทรายค่ะ” น้ำเสียงอ่อนโยนขานตอบมา เธอวางกระเป๋าลง แล้วหยิบหนังสือเล่มหนาเตอะ อีกมือหนึ่งหยิบแว่นตาสีสันสวยแปลกตา ขาแว่นนั้นเป็นรูปกุหลาบแดงเล็ก ๆ ดอกหนึ่งช่างรับกับดวงหน้าอาหมวยอย่างเธอ
เพียงเวลาชั่วครู่ดูเหมือนทั้งสองจะสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว อาจเป็นเพราะความช่างพูดช่างคุยของทราย หญิงสาวผู้อ่อนโยน นัยน์ตาคู่นั้นของเธอแม้จะดูเศร้าสร้อยพิกล แต่เธอก็ยังแย้มยิ้มทำให้เขาไม่ค่อย เก้อเขินมากนัก เธอถามถึงสารทุกข์สุกดิบ แล้วพูดเลยไปถึงเรื่องครอบครัวของเธอ ที่อัดอั้นมานานแสนนาน เรื่องราวเหล่านั้นพรั่งพรูออกมาจากหัวใจไร้เดียงสาของเธออย่างฝนโปรยปรายจากห้วงฟ้าโดยมิขาดสาย
“เรากลัวสอบไม่ติดมหาลัยจังเลย” สีหน้าแววตาของทรายดูหวาดวิตกเหลือเกิน ดูเธอจริงจังมากกว่าทุกเรื่องที่พูดมา “บางครั้งเราก็กดดันมากที่พ่อแม่ตีกรอบไว้ให้”
“ไม่เอาน่าทราย อย่าคิดมาก พ่อแม่เขาเป็นห่วงเธอต่างหาก” ฟีฟ่าพูดปลอบโยนด้วยน้ำเสียงสดใส “ท่านทั้งสองอยากให้เธอได้ดี”
“เราพยายามไม่คิดมากแล้ว แต่พ่อแม่เหมือนไม่เข้าใจ” ครั้งนี้ดูน้ำเสียงเธอแผ่วเบาลงเจือด้วยความน้อยใจ “เราเหนื่อยเหลือเกิน ไม่ได้พักผ่อนเลย ทุกเย็นหลังเลิกเรียน แม่ส่งเราไปเรียนพิเศษเสาร์อาทิตย์ก็เหมือนกัน บางครั้งเราเครียดไม่กล้าบอกพ่อแม่ กลัวท่านโกรธ”
เขาเพิ่งรู้ตอนนี้เองว่า รอยยิ้มบนใบหน้าเธอนั้น เป็นรอยยิ้มอันแรกแย้มจากหัวใจที่เธอไม่ค่อยแสดงออกต่อใคร สภาพกายภายนอกเพียบพร้อมไปด้วยทรัพย์สินเงินตรา สูงด้วยเกียรติยศของพ่อแม่ แต่สภาพหัวใจของเธอนั้นแหลกเหลวไม่เหลือชิ้นดี มีอยู่ช่วงหนึ่ง เธอเล่าด้วยเสียงสะอื้น ๆ ว่าเกรดเฉลี่ยลดลงนิดหน่อยจากสามจุดเจ็ดแปดเหลือสามจุดหนึ่งห้า วันนั้นเธอร่ำไห้ตลอดคืน ตาแดงก่ำราวสีเลือด ขังตัวเองในห้องนอน เธอไม่ได้ร้องไห้เสียใจที่เกรดเฉลี่ยลดลง แต่ที่เธอร้องไห้เพราะพ่อแม่ไม่เคยเข้าใจ เธอเลยสักนิด เอาแต่ด่าว่า ทำไมเกรดลดลง ทำไมไม่ตั้งใจเรียน เดี๋ยวนี้ทำไมเถลไถลขึ้น ไม่เคยแม้ที่จะถามว่า ลูกเหนื่อยไหม ไม่เคยปลอบโยนเธอว่า ไม่เป็นไรนะลูก ค่อยเรียนกันใหม่เทอมหน้า เธอเพียงอยากให้พ่อแม่เข้าใจเธอบ้าง แค่นี้เองที่เป็นสุดปรารถนาของเธอ
“วันนี้เราจะทำข้อสอบให้ได้ ไม่อยากให้พ่อแม่ผิดหวังอีกแล้วเหมือนครั้งนั้น” เธอพูดด้วยสีหน้าแจ่มใสขึ้น ดวงตาของเธอดูเอ่อล้นด้วยน้ำใส ๆ “เราทุ่มเทเตรียมตัวมานาน รอคอยให้ถึงวันนี้”
……………………
ความทรงจำเมื่อวานนี้หยุดชะงักลง เมื่อเขาจำต้องฝืนใจเปิดคอมพิวเตอร์ ต้องการดูเรื่องราวแสนเศร้าที่เกิดขึ้นกับเธอว่าจริงไหม ใช่เธอไหม มีคนถ่ายคลิปวิดีโอไว้ รอยยิ้ม คำทักทาย เสียงหัวเราะไม่เคยจางหายไปในความคะนึง หัวใจเต้นระทึกตึกตักอยู่ภายใน สั่นสะท้านราวอากาศหนาวเหน็บ ปลายนิ้วเเตะเมาส์เบา ๆ แล้วกดคลิก ภาพนิ่งจึงเคลื่อนไหวแสดงกิริยาท่าทางอย่างเป็นธรรมชาติ ในจอคอมพิวเตอร์ มองเห็นสาวน้อยคนหนึ่ง เธอยืนอยู่บนระเบียงชั้นห้ากำลังเหม่อลอยมองขึ้นบนฟ้า บางครั้งก็ก้มลงมองพื้นซีเมนต์เบื้องล่างอย่างหมดอาลัยในชีวิต ข้างล่างคือหมู่เด็กนักเรียนชายหญิงจำนวนมากที่มาดูด้วยความสนใจตามประสาไทยมุง มีทั้งเสียงเอะอะโวยวายสลับกับเสียงตะโกนห้ามดังสนั่น เขาแตะเมาส์หยุดภาพวีดีโอนั้นอย่างกะทันหัน หัวใจหดหู่ ใบหน้าเครียดขึง แล้วก้มหน้าลงต่ำ ภาวนาขออย่าให้เป็นเธอคนนั้นที่เขาเจอเมื่อวานนี้
ไม่มีมือของใครสักคนที่จะเอื้อมคว้ามือเธอเลย ไม่มีมือใครสักคนที่จะหยิบยื่นชีวิตใหม่ให้เธอ เพียงแค่จูงมือเธอลงมาจากระเบียงแล้วปลอบโยนด้วยความหวังดี แค่นี้ชีวิตของทรายก็ยังคงอยู่
แม้จะบอบช้ำบ้าง มีหลายมือแทนที่จะฉุดรั้งห้ามเธอไว้ กลับใช้มือข้างนั้นหยิบมือถือถ่ายคลิปวิดีโอ เก็บเรื่องราวเอาไว้ โดยที่คน ๆ หนึ่งกำลังจะตาย แต่พวกเขากลับเพิกเฉยไม่ทำอะไรเลย ปล่อยให้ร่างน้อย ๆนั้นร่วงสู่พื้นล่างอย่างอเนจอนาถ
คลิปนักเรียนสาวม.ปลายกระโดดตึกตายเพราะทำข้อสอบไม่ทัน ถูกพูดถึงมากที่สุดในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์คในตอนนี้ ยอดวิวเป็นสิบล้านจากการอัพโหลดลงในเฟซบุ๊กของมือปริศนา ไม่รู้แม้แต่ตัวตนที่แท้จริงว่าคือใคร ทราย เป็นชื่อที่ถูกพูดถึงมากว่า เป็นเน็ตไอดอลที่ดังสนั่นกว่าข่าวใด ๆ ในช่วงนี้ถูกเชื่อมโยงถึงเรื่องการเมือง ที่เธอทำไปนั้นอาจเป็นเพราะเธอต้องประท้วงเชิงสัญลักษณ์ว่า การศึกษาไทยนั้นล้มเหลวสิ้นดี
เมื่อเขาจำใจดูคลิปนั้นจนจบ แวบหนึ่งที่เห็นจนใกล้ นั่นเป็นเธอ....
น้ำตาก็พลันหลั่งรินอาบสองแก้ม เจ็บปวดแทนเธอผู้จากไปกับคำคอมเม้นต์เสีย ๆ หาย ๆ ใต้คลิปว่า โง่งั่ง เป็นควายหรือเปล่าล่ะเธอ พ่อแม่ไม่รักเหรอ ตายไปดีกว่าอย่าอยู่เลยอายตัวกินหญ้ามัน เขาอยากให้เธอจากไปอย่างสงบ ไม่อยากให้ใครมาทำร้ายเธออีกแล้ว ในโลกโซเชียล เขาจะตามลบคลิปที่ถูกเผยแพร่ทุกคลิปแม้มันจะยากเย็นปานใด เขาก็จะทำ เพื่อขอบคุณที่ครั้งหนึ่งเราเคยเป็นเพื่อนกันในช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ตาม
แม้วันนี้และวันต่อ ๆ ไปจะไม่มีเธออีกแล้ว แต่อย่างน้อยในหัวใจของเขาก็จะจดจำมันชั่วนิรันดร์ว่า เมื่อวานนี้ที่เธอยังอยู่ แม้ในความทรงจำ.
ติดตามเรื่องราวดีๆ อัพเดท สื่อเป็นโรงเรียนของสังคม ที่แฟนเพจ สื่อเป็นโรงเรียนของสังคม ที่นี่
โครงการสื่อเป็นโรงเรียนของสังคม (Media As Social School)
128/177 ชั้น 16 อาคารพญาไทพลาซ่า ถนนพญาไท แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร 10400
128/177 Phayatai Plaza, 16th Fl., Phayathai Rd., Rajthevee, Bangkok 10400 Thailand
โทรศัพท์ : 02-298-0987-8 โทรสาร : 02-298-0989
อีเมล : [email protected]