กระจกสะท้อนเงาตน : โดยณัฐชยานี ศรีแนน ผลงานประเด็นความรุนแรง

หมวดหมู่ ความรุนแรง , โดย : admin , 4 มิถุนายน 61 / อ่าน : 2,424


"ชีวิตนี้ฉันคงไม่ขออะไรมาก

ขอแค่ครอบครัวมีความสุขฉันก็ดีใจมากแล้ว"

จาก ณัฐชยานี ศรีแนน เรื่องกระจกสะท้อนเงาตน






วันศุกร์ที่แสนเบื่อหน่ายกับจราจรแน่นขนัด ขณะนั่งรถประจำทางกลับบ้านทั้งฝุ่นควัน อากาศที่ร้อนอบอ้าว จิตใจก็พยายามสงบสติอารมณ์ พลางนึกให้ไปถึงบ้านเร็วๆ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่นั่งรอให้รถเคลื่อนไปทีละน้อย

เลิกเรียนตั้งแต่สี่โมงเย็น นี่ก็เกือบจะหกโมงพอดี ถึงบ้านที่ไม่ค่อยอยากจะกลับมาสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่รู้จะไปที่ไหน

“มึงจะไปไหน”

เสียงนี้เป็นเสียงที่ฉันคุ้นหูที่สุด แล้วก็เป็นคำพูดที่ได้ยินบ่อยๆ ทั้งยังรู้ด้วยว่าคนพูดอยู่ในอารมณ์ไหน แล้วก็จะได้ยินเสียงคู่สนทนาตอบกลับมาเหมือนๆ เดิม

“กูจะไปกินเหล้ากับเพื่อน กลับจากทำงานเหนื่อยๆ ก็ต้องผ่อนคลายบ้างสิวะ”

คนที่พูดก็คือพ่อ ใช่พ่อของฉันเอง พ่อมักจะบอกว่าพ่อต้องทำงานหนักหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว แล้วพ่อก็จะออกไปกินเหล้ากับเพื่อนๆ จนกลายเป็นเรื่องปกติ

“มึงไม่คิดจะอยู่กับลูกกับเมียเลยเหรอวะ มึงจะไปหาแต่เพื่อนมึง เวลาเมามาเพื่อนมึงดูแลรึไง”

เสียงด่าของแม่ที่ตระโกนด่าพ่อจากในบ้าน ส่วนพ่อก็รีบใส่รองเท้าเตรียมพร้อมจะออกไปข้างนอกแล้ว

“เออๆ ก็กูอยู่กับเพื่อนแล้วมีความสุขมากกว่ามึงไง”

เสียงของพ่อพูดเพียงเบาๆ เท่านั้นเพราะพ่อก็กลัวจะมีมีดลอยมาโดนหัวพ่อเช่นกัน

“สวัสดีค่ะพ่อ” ฉันไหว้พ่อหลังจากที่เปิดรั้วเข้าบ้าน พ่อรับไหว้แล้วก็รีบเดินไป ฉันจึงตระโกนตามหลังพ่อว่า “อย่าเมานะพ่อ เดี๋ยวบ้านแตก”

พ่อกับแม่ทะเลาะกันแทบไม่เว้นแต่ละวัน บางวันถึงขั้นตบตีจนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว บ้านใกล้เรือนเคียงเขาก็พอจะรู้ว่าบ้านเราเป็นยังไง ถึงไม่ค่อยมีใครกล้าเข้ามาห้ามเวลาพ่อแม่ทะเลาะกัน ส่วนลูกๆ ก็ได้แต่มองตากัน แล้วหนีเข้าห้องของใครของมัน

“เฮ่อ” ฉันถอนหายใจถึงบ้านสักที ฉันนั่งลงบนโซฟาหน้าโทรทัศน์ แม่เดินออกมาจากในครัวหลังบ้าน “แม่ สวัสดีค่ะ”

“เออ หวัดดี พ่อมึงล่ะ”

“ไปแล้ว”

“พ่อมึงมันติดเพื่อน อยู่ไม่เคยติดบ้าน เมียกับลูกจะเป็นยังไงก็ไม่สนใจ สนใจแต่เพื่อน ไม่เคยจะถามถึงความเป็นอยู่ว่าอย่างไร กลับจากทำงานมันก็ไปอย่างเดียว สักวันเหอะที่กูทนไม่ไหวจริงๆ แล้วนี่พี่ชายมึงไปไหนทำไมไม่กลับบ้านพร้อมกัน”

“ไม่รู้ น้ำกลับมาก่อนกลัวรถติดมากไปกว่านี้ มันน่าเบื่อ” ฉันตอบแม่ไปอย่างนั้นเพราะไม่อยากให้แม่รู้ว่าพี่ชายฉันมันติดพนัน พี่ชายฉันชื่อนัทเรียนอยู่ชั้น ม.๖ ส่วนฉันเรียนอยู่ชั้น ม.๕ เราอายุห่างกันแค่ปีเดียว ปกติก็ไม่ค่อยไปไหนมาไหนด้วยกันหรอก พี่ชายติดเกมติดพนันและชอบเที่ยวนิสัยเหมือนๆ พ่อ ฉันกับพี่ชายทะเลาะกันบ่อยจนฉันก็ไม่อยากเล่นด้วย เพราะพี่ชายมันชอบทุบตีฉัน

“อยู่โรงเรียนเดียวกัน ทำไมไม่กลับบ้านพร้อมกัน เป็นพี่น้องประสาอะไร พี่ก็ไม่ดูแลน้อง น้องก็ไม่ดูแลพี่ ถ้าพ่อแม่ตายไปแกสองคนจะดูแลกันได้หรือวะ ขนาดแค่นี้ยังไม่ดูแลกัน แล้วต่อไปจะไม่กลายเป็นคนแปลกหน้าหรอ”

“แม่ หนูขึ้นห้องก่อนนะ” ฉันรีบตัดบทหนีก่อนที่แม่จะบ่นไปมากกว่านี้ มิวายที่จะมีคำพูดที่ไพเราะเสนาะหูตามมาด้วย

“เออ ให้มันได้อย่างนี้สิ ผัวก็หนีออกไปกินเหล้ากับเพื่อน ลูกมันก็หนีขึ้นห้องพูดอะไรนิดหน่อยก็ไม่ฟัง ส่วนอีกคนก็ยังไม่กลับ คนบ้านนี้มันเป็นยังไงกันพูดอะไรไม่ได้เลยใช่ไหม!”

แม่ก็จะบ่นอย่างนี้แทบทุกวัน บางวันทะเลาะกับพ่อแล้วก็มาลงกับลูก ฉันละอยากเห็นพ่อกับแม่พูดจาดีๆ กันเหลือเกิน ถ้าพูดกันดีๆ ก็ไม่เกินสามวัน

เวลาผ่านไปสามชั่วโมง ฉันนอนเพิ่งตื่นเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ ได้ยินเสียงแม่เรียกไปกินข้าว

“น้ำ ลงมากินข้าว”

“ค่ะแม่” ท้องเจ้ากรรมก็รู้จักเวลาเสียจริงๆ แม่เรียกปุ๊บท้องก็ร้องปั๊บ พอเดินลงมาข้างล่างก็เจอแต่แม่คนเดียว เราจึงถามหาพี่ชาย “อ้าวแม่ นัทล่ะยังไม่กลับอีกหรอ”

“ยัง ไม่รู้มันหายหัวไปไหน โทรตามมันดิ๊” แม่บอกให้ฉันโทรหาพี่ชายที่แสนดี ฉันก็โทรตามคำสั่งแต่ไม่ติด น่าจะปิดเครื่อง ไม่ก็แบตหมด

“โทรไม่ติดอะแม่ สงสัยแบตหมดมั้ง”

“ช่างมัน รีบกินข้าวจะได้รีบอาบน้ำนอน พรุ่งนี้ตื่นมาช่วยแม่ทำงานแต่เช้าด้วย”

“โหย อะไรอะแม่ พรุ่งนี้วันเสาร์ขอนอนตื่นสายๆ ไม่ได้หรอ”

“ไม่ได้ ถ้าตื่นสายแล้วจะเอาอะไรกิน” พอแม่พูดจบประโยคก็ได้ยินเสียงเปิดประตูบ้าน พี่ชายตัวดีของฉันนั่นเอง เพิ่งกลับมา

“ไปไหนมา ทำไมกลับมามืดค่ำป่านนี้ โรงเรียนเลิกตั้งแต่สี่โมงเย็น ไปเถลไถลที่ไหนมาฮ่ะ”

“หวัดดีแม่ ก็ไปติวหนังสือกับเพื่อนไงแม่ ผมใกล้จะจบ ม.๖ แล้วนะ ผมก็ต้องไปหาอ่านหนังสือสอบสิ เดี๋ยวสอบไม่ติดอายชาวบ้านเขา” พี่ชายตอบแม่เหมือนอย่างความหมายที่พูดนั้น ทั้งที่จริงคือมันไปเล่นพนันบอลมากกว่า

“เออๆ ดีแล้วแต่ต่อไปก็โทรบอกบ้าง แม่เป็นห่วง คราวหลังพาน้องมึงไปติวด้วย น้องมึงจะได้รู้อ่านหนังสือแต่เนิ่นๆ เลย”

“ใช่ๆ พาน้ำไปด้วยดินัท” ฉันก็เสริมต่อจากแม่ทั้งที่รู้อยู่แล้วแหละว่าพี่ชายฉัน มันไม่ให้ฉันไปด้วยหรอก แล้วฉันก็ไม่ได้อยากไปด้วย พอฉันพูดมันก็ทำสายตาขวางๆ ใส่

“มาเหนื่อยๆ กินข้าวดีกว่านัท มาๆ” แม่เห็นสายตาฉันกับพี่ชายที่เริ่มมองไม่ดี แม่กลัวเราทะเลาะกันจึงตัดบท

พอล้างถ้วยจานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉันก็ขึ้นห้องนอนเตรียมจะอาบน้ำนอน สักพักมีเสียงคนมาเคาะประตู

“ใคร” ฉันถามออกไป

“พี่เอง” เสียงตรงข้ามตอบกลับมา

“มีอะไร” ฉันถามออกไปเสียงแข็ง เพราะนานทีปีหนนัทถึงจะมาหาที่ห้อง

“มีเรื่องอยากคุยด้วย ขอเข้าไปได้มะ” น้ำเสียงกระวนกระวายมีเรื่องอะไรอะ

“แป๊บนึง” แล้วฉันก็เปิดประตูให้นัทเข้ามา ปกติฉันก็ไม่เรียกพี่หรอก นานๆ ถึงจะเรียกก็ห่างกันแค่ปีเดียวก็ไม่จำเป็นต้องเรียก และนอกจากอยู่ต่อหน้าพ่อ เดี๋ยวพ่อดุเอา

“มีอะไรก็รีบๆ พูดมาแล้วก็รีบๆ ไป น้ำจะนอน” ฉันรีบบอกนัทเพราะฉันรู้สึกมีลางสังหรณ์ยังไงไม่รู้

“มีเรื่องจะรบกวน มีเงินให้ยืมปะ สักสองพัน”

“ไม่มี” ฉันตอบอย่างรวดเร็วโดยไม่รีรอ

“อะไรวะ คิดก่อนก็ได้ พี่รู้ว่าแกมี ให้ยืมหน่อยพี่จะเอาไปจ่ายค่าติวอะ”

“แล้วทำไมไม่ขอพ่อกับแม่” ฉันถามทันทีเพราะค่าใช้จ่ายเรื่องการเรียนพ่อแม่ก็ให้อยู่แล้ว

“ก็ขอแล้ว แต่แม่ยังไม่ให้ รอเงินเดือนพ่อออก พี่ต้องรีบจ่ายไงก็เลยมายืมน้ำน้องสาวผู้น่ารักของพี่”

นัททำสายตาที่หวานหยาดเยิ้ม แต่ฉันไม่หลงกลหรอก แล้วฉันก็ไม่เชื่อด้วย

“ไม่มีอะ ก็ค่อยบอกเขาว่าจ่ายทีหลังก็ได้นี่ เขาไม่ว่าหรอก ถ้ารีบมากเดี๋ยวน้ำบอกแม่ให้”

“โอ๊ย ใครจะไปกล้าพูด เพื่อนพี่เขาจ่ายกันหมดแล้วเหลือแต่พี่คนเดียว นะๆๆๆ”

“ไม่!” แล้วฉันก็เดินเอาผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำไปโดยไม่หันกลับมามอง อันที่จริงฉันก็มีเงินอยู่หรอก แต่ฉันเก็บไว้จะเอาไปเที่ยว ยังไงฉันก็ไม่ให้หรอก สักพักก็ได้ยินเสียงบอกว่า “เออ ไม่เอาก็ได้วะ” ฉันอาบน้ำประมาณสักสามสิบนาที ร่างกายพร้อมนอน จะนอนให้เต็มอิ่มไปเลยพรุ่งนี้วันเสาร์ เย้ๆ

วันเสาร์ที่เกือบจะสดชื่น แต่แม่ปลุกฉันตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าให้ช่วยนับผ้าที่จะส่งเจ้านาย คือแม่มีอาชีพเย็บผ้าอยู่บ้าน แล้วก็มีคนมารับงานแล้วก็เอางานมาส่งที่บ้านให้ทำเป็นประจำ บ้านแถวๆ นี้ก็มีคนทำแบบแม่หลายคน ตื่นเช้ามาแม่ก็บ่นเรื่องพ่อเมากลับดึก แต่ตอนเช้าพ่อก็ตื่นไปทำงานได้ปกติ พ่อทำงานบริษัทมีวันหยุดแค่วันอาทิตย์เท่านั้น พ่อจึงไม่ค่อยอยู่บ้าน ส่วนพี่ชายก็ออกไปไหนก็ไม่รู้แต่เช้า บอกแต่ไปติว ให้ไปติวจริงๆ เหอะ สุดท้ายวันนี้ทั้งวันก็หมดไปกับการช่วยงานแม่

วันเสาร์ผ่านไป วันนี้ก็วันอาทิตย์แล้ว เมื่อวานเพื่อนโทรมาบอกว่าให้เอาเงินไปจ่ายค่าไปเที่ยว ใกล้จะได้ไปเที่ยวแล้ว ฉันจึงจะไปนับเงินที่อุตส่าห์เก็บไว้ตั้งนานไปบำเรอความสุขของฉันสักที ฉันเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้า แต่หายังไงก็หาไม่เจอ หาทั่วห้องก็หาไม่เจอ หาตั้งแต่เช้าจนบ่ายสี่โมงแล้วก็หาไม่เจอ แล้วฉันก็พยายามนึกถึงเรื่องราวทั้งหมด ฉันจึงรีบวิ่งลงไปข้างล่างไปหาพี่ชายที่นั่งดูทีวีอยู่บนโฟซากับพ่อ

“นัท” ฉันเรียกพี่ชายเสียงแข็ง

“พี่นัท ทำไมไม่เรียกพี่ พ่อบอกกี่ครั้งแล้ว” พ่อบอกฉันด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจที่ฉันไม่เรียกพี่ชายว่าพี่นัท

“น้ำมีเรื่องจะคุยกับพี่ ขอคุยด้วยหน่อย”

“มีอะไรก็พูดมาสิ” พี่ชายตอบแบบหน้าตาเฉย เพราะมีพ่อหรอกฉันถึงไม่อยากจะพูดต่อหน้าพ่อ

“มีอะไรก็คุยตรงนี้ก็ได้นี่” พ่อเป็นคนพูดออกมา ได้ถ้าพ่อต้องการหนูก็จะพูด

“พี่นัท เงินน้ำหาย พี่เอาไปใช่ไหม” เมื่อฉันพูดออกไป พี่ชายฉันก็สะดุ้ง พูดตะกุกตะกัก

“พี่ พี่ ไม่ได้เอาไป แกหาดีรึยัง อย่ามาใส่ร้ายพี่นะ” พี่ชายฉันยังไม่ยอมรับ

“หาดีแล้ว และไม่มีใครเข้าห้องของน้ำ มีแต่พี่คนเดียวเท่านั้น”

“ก็พี่บอกไม่ได้เอาไปไง”

“เป็นไปไม่ได้ มีแค่พี่คนเดียวที่จะเอาเงินน้ำไปได้!!” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงที่ตะคอกพลางเดินเข้าไปหานัท

“ก็กูบอกไม่ได้เอาไป ก็ไม่ได้เอาไปสิวะ เซ้าซี้อยู่ได้”

“กูไม่เชื่อ มึงเอาเงินกูไปแทงบอลใช่ไหม ไอ้นัทเอาเงินกูคืนมา” ฉันพูดพลางเข้าไปค้นตัวนัท มันผลักฉันออกแต่ฉันก็พยายามเข้าไปค้นในตัวมันให้ได้ จนในที่สุดก็ได้ยินเสียง เพียะ!!! เสียงฝ่ามือหนาของผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพี่ชายประทับรอยมือลงบนใบหน้าของฉัน ฉันรู้สึกมีน้ำอยู่ที่มุมปาก พ่อที่เห็นเหตุการณ์จึงเข้ามาแยกเราสองคนออกจากกัน

“นัท มึงทำอะไรน้อง มึงตบน้องทำไม ถ้าไม่ได้ทำก็บอกน้องไปดีๆ ตบตีน้องทำไม ห่า” พ่อพูดด้วยน้ำเสียงตะคอก “แล้วจริงหรอที่บอกว่าแกเอาเงินไปแทงบอล จริงหรือป่าว ตอบพ่อ” นัทเงียบไม่ตอบ “พ่อไม่เคยสั่งเคยสอนให้แกเป็นคนแบบนี้ พ่อไม่เคยสอนให้แกทำร้ายน้อง ทำไมแกถึงทำน้องขนาดนี้ เพราะแกทำผิดจริงๆ ใช่มั้ยฮะ ไอ้นัท ไอ้ลูกสารเลว!!! ”

พ่อพูดด้วยความเสียงดังและตะคอกใส่หน้านัท จนแม่ที่อยู่หลังบ้านรีบวิ่งออกมาดู

“ทำไมนัทจะทำไม่ได้ ทีพ่อยังตีแม่ได้เลย นี่น้ำมันแค่น้องไม่ใช่แม่นัทสักหน่อย ทำไมนัทจะตีมันไม่ได้” เพียะ!! เสียงฝ่ามือของพ่อประทับลงบนหน้านัท หลังจากที่โดนฝ่ามือพ่อนัทก็เงยหน้ามาต่อว่าพ่อ

“ใช่ นัทเอาเงินมันไปแทงบอล ก็ทีพ่อ พ่อยังไปเล่นไพ่กับเพื่อนได้เลย ทำไมนัทจะแทงบอลไม่ได้ พ่อยังทำได้ ทำไมนัทจะทำไม่ได้! ก่อนพ่อจะด่านัท พ่อดูตัวเองก่อนเหอะ” นัทพูดจบนัทก็เดินออกจากบ้านไป

บรรยากาศภายในบ้านเงียบ ได้ยินแค่เสียงลมหายใจและเสียงร้องไห้ของพ่อ พ่อทรุดเข่าลงพลางน้ำตาไหล ตั้งแต่เกิดมาฉันไม่เคยเห็นพ่อน้ำตาไหลเลย นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นพ่อน้ำตาไหล ส่วนแม่ก็เสียใจและร้องไห้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพลางปลอบพ่ออยู่ข้างๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ทำให้ฉันพลอยร้องไห้ไปด้วย ฉันผิดเองที่พูดเรื่องนี้ ฉันทำให้พ่อแม่ร้องไห้

“พ่อแม่ น้ำขอโทษ” เราสามคนพ่อแม่ลูกสวมกอดกัน

ประมาณห้าทุ่มก็ได้ยินเสียงเปิดรั้วบ้าน สงสัยนัทกลับมาแล้ว ฉันรีบไปเปิดประตู ฉันตกใจมากเห็นสภาพนัทสะบักสะบอม ฉันรีบเข้าไปประคองนัทเข้าบ้าน

“พ่อแม่ มาดูนัทเร็ว” ฉันรีบตะโกนบอกพ่อแม่ทันที

“นัทเกิดอะไรขึ้นลูก”

“พี่นัทไปโดนอะไรมาเนี่ยพี่”

ฉันกับพ่อพยุงนัทมานอนที่โฟซา แม่ไปหาผ้ามาเช็ดตัวนัท ส่วนพ่อก็ถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย

“นัทเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงเป็นแบบนี้”

“ผมไปเล่นพนันจนหมด กะว่าจะเอาเงินคืนมาให้น้ำมัน แล้วพวกมันโกง ผมก็ด่ามัน มันเลยรุมผม” พี่นัทโดนทำร้ายจากพวกนักเลงบ่อนนั่นเอง

เมื่อพี่นัทพูดเรื่องที่ตนโดนทำร้าย จึงทำให้พ่อพูดขอโทษลูกๆ ที่พ่อเคยทำตัวไม่ดีเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ลูกๆ ไม่ได้ จึงทำให้ลูกๆ เลียนแบบพฤติกรรมที่ผิดๆ และพ่อยังหันไปขอโทษแม่ที่ไปเอาผ้าเช็ดตัวมานั่งข้างพี่นัท พ่อขอโทษที่ทำร้ายแม่มาตลอด พ่อบอกว่าพ่อจะไม่ทำอีกแล้ว ส่วนแม่ก็ขอโทษพ่อเช่นกันกับเรื่องราวที่ผ่านมา แม่พูดด้วยเสียงสั่นเครือ จนทำให้ฉันน้ำตาไหลไปด้วย ฉันและพี่นัทก็กราบขอโทษพ่อกับแม่ที่ทำตัวไม่ดีมาโดยตลอด

เราสี่คนก็สวมกอดกันด้วยน้ำตาที่มีแต่ความสุข จากนี้ต่อไปฉันก็หวังว่าพ่อกับแม่จะไม่ทะเลาะตบตีกัน แล้วจะพูดจากันดีๆ และฉันก็จะเป็นเด็กดีของพ่อแม่ แม้ว่ามันจะแปลกๆ หน่อยก็เหอะ ชีวิตนี้ฉันก็คงไม่ขออะไรมาก ขอแค่ครอบครัวมีความสุขฉันก็ดีใจมากแล้ว





#feedDD #MASS

 

 


ติดตามเรื่องราวดีๆ อัพเดท สื่อเป็นโรงเรียนของสังคม ที่แฟนเพจ สื่อเป็นโรงเรียนของสังคม ที่นี่





เส้นทางจากดาวน์...สู่ดาว แคทลียา อัศวานันท์ ศิลปินดาว์นซินโดรมคนแรกของไทย

แม้โรงเรียนรุ่งอรุณจะอยู่ไกลจากบ้านของเธอมาก แต่อุปสรรคนี้กลับกลายเป็นโอกาส เมื่อครอบครัวตัดสินใจให้คุณเหมียวเดินทางไป กลับ ด้วยรถเช่าเหมาร่วมกับครอบครัวอื่นที่อยู่ในเส้นทางเดียวกัน

เรื่องของลุงยู้ : โดยประชาคม ลุนาชัย ผลงานประเด็นกลุ่มอ่อนไหวและเปราะบาง

ชายรูปร่างสูงผอม ผมบนหัวขาวโพลนไปทุกเส้น แววตาแข็งกร้าวใบหน้าเหมือนไม่เคยมีรอยยิ้มประดับ.....

นางเลี้ยงหมากะป้าแจ่ม : โดยชมัยภร แสงกระจ่าง ผลงานประเด็นกลุ่มอ่อนไหวและเปราะบาง

ชาวบ้านซอยหมา เรียกป้าแจ่มเป็นนางงามมิตรภาพประจำซอย เพราะเป็นคนชอบแจกยิ้มและชอบโฆษณาตัวเองพร้อม ๆ กับโฆษณาคนอื่น.....

ชายแขนเดียว : โดยธนณัฎฐ์ อารยสมโพธิ์ ผลงานประเด็นกลุ่มอ่อนไหวและเปราะบาง

ชายแขนเดียวมองดูแขนของตนเองที่มีเพียงข้างเดียว หน้าตาของเขาเศร้าสร้อย....

จุดนัดพบ : โดย พัชรพร ศุภผล ผลงานประเด็นสิ่งแวดล้อมในชุมชน

คลื่นกระแสน้ำสั่นกระเพื่อมจนตัวฉันรู้สึกได้ อาจเป็นเพราะการเดินทางเข้าใกล้จุดหมายแล้วอีกหนึ่งขั้น....

โขง ชี มูล บ่สูญจากโลกนี้ : โดย อมรศักดิ์ ศรีสุขกลาง ผลงานประเด็นสิ่งแวดล้อมในชุมชน

แม่น้ำสามสายเรียกชื่อต่างกันว่า โขง ชี มูล แกยังเคยได้ฟังหมอลำนกน้อย อุไรพร ร้องลำไว้ในเพลง ลำนำพิณแคน....

ตำรวจบ้าแห่งปรางค์กู่ : โดย จิรกฤต ยศประสิทธิ์​ ผลงานประเด็นสิ่งแวดล้อมในชุมชน

บางครั้งเมล็ดพันธุ์ที่เจริญเติบโตได้ดีก็ใช่ว่าจะอยู่รอดปลอดภัยเสมอไป....

โลกของชานน : โดยนิติพร ชุมศรี ผลงานประเด็นสิ่งแวดล้อมในชุมชน

ชีวิตของเขาแทบจะไม่มีอะไรดีเลย ยกเว้นความดีในตัวเขาเอง....

แม่น้ำโบราณ : โดยเรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์ ผลงานประเด็นสิ่งแวดล้อมในชุมชน

หญิงสาวในบ้านไม้เก่าแก่ ในฤดูกาลแห่งพรรษา เธอเฝ้าเว้าวอนจันทร์ ขอเพียงอย่าให้สายฝนทิ้งช่วงเลย....

โครงการสื่อเป็นโรงเรียนของสังคม (Media As Social School)

128/177 ชั้น 16 อาคารพญาไทพลาซ่า ถนนพญาไท แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร 10400
128/177 Phayatai Plaza,  16th Fl., Phayathai Rd., Rajthevee, Bangkok 10400 Thailand

โทรศัพท์ : 02-298-0987-8 โทรสาร : 02-298-0989
อีเมล : [email protected]