กทม. จับมือ แผนงานสื่อศิลป์ฯ สสส. และ Nudge Thailand เปิดตัวหลักสูตร ‘อย่าปล่อยให้เด็กอ้วน’ รับมือกับภาวะน้ำหนักเกินและส่งเสริมสุขภาวะของเด็ก กทม.ให้มีวิถีชีวิตที่ดีต่อสุขภาพอย่างยั่งยืน

หมวดหมู่ เรื่องเด่น , โดย : admin , 7 พฤศจิกายน 68 / อ่าน : 3,057



กทม. จับมือ แผนงานสื่อศิลป์ฯ สสส. และ Nudge Thailand เปิดตัวหลักสูตร ‘อย่าปล่อยให้เด็กอ้วน’ รับมือกับภาวะน้ำหนักเกินและส่งเสริมสุขภาวะของเด็ก กทม.ให้มีวิถีชีวิตที่ดีต่อสุขภาพอย่างยั่งยืน

 

สถานการณ์น้ำหนักเกินเกณฑ์ในเด็กนักเรียน กลายเป็นวาระเร่งด่วนที่ต้องแก้ไข เมื่อ กทม.สำรวจพบ 437 โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร พบนักเรียนมีน้ำหนักเกินเกณฑ์สูงถึง 20 กว่าเปอร์เซ็นต์ จากยอดรวม 220,000 คน ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนว่าการออกกำลังกายในชั่วโมงพละ หรือการจัดกีฬาสีเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพออีกต่อไป

นี่คือจุดเริ่มต้นของการผนึกกำลังครั้งสำคัญระหว่าง กรุงเทพมหานคร (กทม.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยแผนงานสื่อศิลปวัฒนธรรมสร้างเสริมสุขภาพ และ Nudge Thailand ร่วมพัฒนาและเปิดตัวหลักสูตร “อย่าปล่อยให้เด็กอ้วน” ซึ่งจะเริ่มใช้ในภาคการศึกษาที่ 2 ของปีการศึกษา 2568 นี้ ณ สถานเอกอัครราชทูตเดนมาร์ก เขตสาทร

ผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ กล่าวว่า กรุงเทพมหานคร เป็นเมืองที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกหลากหลาย จึงทำให้คนส่วนมากอาจจะเคลื่อนไหวน้อย ทำให้เป็นเมืองที่มีคนที่น้ำหนักเกินสูงที่สุดในประเทศไทย ซึ่งโรคอ้วนถือเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่สำคัญ เพราะนำไปสู่ปัญหาที่ตามมาอีกมากมาย ทั้งโรคหัวใจ เบาหวาน หลักสูตร “อย่าปล่อยให้เด็กอ้วน” คือผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมและเป็นหัวใจสำคัญของความพยายามในการจัดการโรคอ้วนในเด็กนักเรียน กทม. ภายใต้โครงการ “Cities for Better Health” โดยมี สสส. โดยแผนงานสื่อศิลปวัฒนธรรมสร้างเสริมสุขภาพ และ Nudge Thailand เข้ามาเป็นพันธมิตรเชิงเทคนิคในการพัฒนาเนื้อหาหลักสูตร ร่วมกับ กทม. และ โนโว นอร์ดิสค์ จากประเทศเดนมาร์ก ทั้งนี้จะเริ่มนำหลักสูตรนี้ไปใช้ตั้งแต่ ภาคการศึกษาที่ 2 ของปีการศึกษา 2568 จากกลุ่มโรงเรียนนำร่อง 18 โรงเรียน จากนั้นจะขยายไปให้ครบ 437 โรงเรียนภายในระยะเวลา 4 ปีนี้

 

ทั้งนี้ภายในงาน ดร.ดนัย หวังบุญชัย ผู้จัดการแผนงานสื่อศิลปวัฒนธรรมสร้างสรรค์สุขภาพ สสส. ได้กล่าวถึงความสำคัญของหลักสูตร  “อย่าปล่อยให้เด็กอ้วน” นี้ว่า หัวใจสำคัญของหลักสูตรนี้ คือการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและพฤติกรรมอย่างยั่งยืน ปัญหาที่ผ่านมาคือ เด็กอาจมีความรู้ แต่ไม่สามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้จริง หลักสูตรใหม่นี้จึงมุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมเป็นหลัก

 

 

ทลายกำแพง “โรงเรียน” สู่ “ตู้เย็นที่บ้าน”

ความท้าทายที่ ดร.ดนัย หวังบุญชัย ผู้จัดการแผนงานสื่อศิลปวัฒธรรมสร้างเสริมสุขภาพ สสส. ระบุจากการทำงานโครงการนี้มากว่า 8 ปี คือ เด็กทำได้ดีที่โรงเรียน แต่พอปิดเทอมกลับไปบ้าน น้ำหนักก็กลับมาเหมือนเดิม “โครงการเราปีที่ 1 ปีที่ 2 ประสบความสำเร็จในโรงเรียนสูงมาก แต่พอเด็กปิดเทอมกลับไปที่บ้าน คุณพ่อคุณแม่ผู้ปกครอง เราก็เลยมีกระบวนการใหม่” ดร.ดนัย กล่าว ปัญหาคือ โรงเรียนควบคุมอาหารได้เพียง 1 มื้อ (มื้อกลางวัน) แต่อีก 2 มื้ออยู่ที่บ้าน หลักสูตรใหม่นี้จึงออกแบบกิจกรรมที่เชื่อมโยงบ้านและโรงเรียนเข้าด้วยกันอย่างเข้มข้น

ทั้ง สสส. และ กทม. มีกิจกรรมไฮไลต์ร่วมกันคือ “สำรวจตู้เย็น” หรือ “คุณครูตู้เย็น” โดยให้เด็กกลับไปสำรวจตู้เย็นที่บ้านร่วมกับผู้ปกครอง เพื่อวิเคราะห์ว่ามีอะไรที่จำเป็นต่อสุขภาพบ้าง แล้วบันทึกลงในสมุดสุขภาพ จากนั้นผู้ปกครองจะถูกเชิญให้มาแบ่งปัน “เมนูชูสุขภาพ” ที่ลูกชอบและมีประโยชน์ที่โรงเรียนด้วย

สอดคล้องกับ นายภานุวัฒน์ สัจจะวิริยะกุล ผู้ร่วมก่อตั้ง Nudge Thailand ที่เสริมว่า หน้าที่ของพวกเขาคือการช่วยเปลี่ยนความรู้ให้กลายเป็นพฤติกรรม เช่น หากเด็กอยากทานของอร่อย ก็อาจแนะนำให้ กินน้อยลง และ แบ่งเพื่อน ซึ่งนอกจากจะลดปริมาณการบริโภคแล้ว ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนด้วย

นายภานุวัฒน์ ขยายความว่า นี่คือการเปลี่ยนเด็กให้เป็นผู้สื่อสารสุขภาพกับผู้ปกครอง เช่น ให้เด็กมีส่วนร่วมในการวัดความเค็มหรือความหวานของอาหารที่บ้าน เพื่อสร้างการตระหนักรู้ร่วมกันทั้งครอบครัว

ปั้น “เด็กแกนนำ” สู่ “Change Agent” ชุมชน

ในโรงเรียน หลักสูตรนี้จะถูกบูรณาการเข้าไปใน 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ เพื่อทำให้การเรียนรู้เรื่องสุขภาพเป็นเรื่องสนุก ไม่น่าเบื่อ ดร.ดนัย หวังบุญชัย ผู้จัดการแผนงานสื่อศิลปวัฒธรรมสร้างเสริมสุขภาพ สสส. กล่าวว่าการพัฒนาหลักสูตรจะเป็นแบบ Active Learning ปั้น “เด็กแกนนำ” ให้เด็กพูดภาษาเด็กกันเอง เช่น การนำเสนอเมนูชูสุขภาพโดยใช้วัตถุดิบท้องถิ่น หรือการประดิษฐ์อุปกรณ์ออกกำลังกายจากวัสดุเหลือใช้ กิจกรรม “เมนูชูสุขภาพ” ที่เด็กต้องรวมกลุ่มกันคิดเมนู ออกแบบจานอาหาร คำนวณแคลอรี่ และนำเสนอประโยชน์ต่อร่างกาย

วิสัยทัศน์ของโครงการนี้ไม่ได้หยุดแค่ตัวเด็กและครอบครัว แต่ตั้งเป้าให้เด็กแกนนำมัธยมสามารถขยายผลเป็น “Change Agent” สู่ชุมชนได้ เช่น การไปให้ความรู้ชาวบ้านในชุมชนเรื่องโภชนาการ หรือการช่วยปรับสูตรอาหาร

ดร.ดนัย สรุปว่า เป้าหมายสูงสุดของการเปลี่ยนแปลง คือ การเปลี่ยนแปลงต้องเกิดทั้งในระดับบุคคล เด็กเยาวชน ครู ผู้บริหาร ไปจนถึงการผลักดันเชิงโครงสร้าง การสร้างผลกระทบเชิงบวกไปยังสภาพแวดล้อมรอบโรงเรียน ทั้งร้านค้า ผู้ประกอบการร้านอาหารรอบโรงเรียน และชุมชน โดยรวม โดยมีปัจจัยความสำเร็จที่สำคัญ 5 ประการ ดังนี้

1. มีธีมแคมเปญที่ “ว้าว” (Creative Theme) สร้างสรรค์ โดดเด่น มีเอกภาพ และสะท้อนอัตลักษณ์ของโรงเรียน เพื่อดึงดูดความสนใจและกระตุ้นการมีส่วนร่วม

2. มีนวัตกรรมสื่อและกิจกรรม (Innovation) ที่ใช้หลัก 3 อ. (อาหาร ออกกำลังกาย อารมณ์) และ Active Learning เช่น การคิดค้นเมนูชูสุขภาพจากวัตถุดิบท้องถิ่น การสร้างสรรค์ท่าเต้น หรือการเปลี่ยนเกมบันไดงูบนกระดาษ เพื่อให้นักเรียนได้เคลื่อนไหวทางกาย เป็นต้น

3. มีการสร้างแกนนำเยาวชน ส่งเสริมให้เด็กเป็น “ผู้นำทางความคิดด้านสุขภาพ หรือ Change Agent” และเป็นผู้ขับเคลื่อนกิจกรรมด้วยตนเอง พร้อมขยายเครือข่ายความร่วมมือระหว่าง โรงเรียน-บ้าน-ชุมชน และหน่วยงานรัฐ

4. สร้างการรู้เท่าทันสื่อและรู้เท่าทันสุขภาพ สร้างทักษะให้เด็กรู้เท่าทันกลไกการตลาดของอาหาร หวาน มัน เค็ม และสร้างนวัตกรรมสื่อที่สนุกสนาน เข้าใจง่าย เช่น การอ่านฉลากโภชนาการตามสัญญาณไฟจราจร (เขียว-เหลือง-แดง) หรือ สมุดบันทึกสุขภาพ และ

5. ได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหารสถานศึกษาทุกระดับ ปัจจัยเชิงโครงสร้างที่สำคัญที่สุด คือการสนับสนุนอย่างจริงจังจากผู้บริหารสถานศึกษา ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ทำให้โครงการสำเร็จเกิน 80% และต้องมีการบูรณาการความรู้สุขภาวะเข้ากับ 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้

        การผนึกกำลังครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการนำบทเรียนความสำเร็จมาขยายผลสู่การสร้างวิถีชีวิตที่ดีต่อสุขภาพให้กับคนกรุงเทพฯ อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป.

#BangkokCityForBetterHealth #กทม #อย่าปล่อยให้เด็กอ้วน #สสส #แผนงานสื่อศิลป์ #เดนมาร์ก #Novonordisk #สุขภาวะคนกรุง



ปฏิทินกิจกรรม











แผนงานสื่อศิลปวัฒนธรรมสร้างเสริมสุขภาพ
Art & Culture for Health Literacy

สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส)
ThaiHealth Promotion Founnation (THPF)

128/177 ชั้น 16 อาคารพญาไทพลาซ่า ถนนพญาไท แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร 10400
128/177 Phayatai Plaza,  16th Fl., Phayathai Rd., Rajthevee, Bangkok 10400 Thailand

โทรศัพท์ : 02-129-3897-8 โทรสาร : 02-129-3899
อีเมล : [email protected]