ก่อนจะถึงวันลอยกระทง 27 พฤศจิกายนนี้ มารู้จักกับตำนานนางนพมาศกันก่อน
ต้นทางของข้อมูลว่านางนพมาศริเริ่มประดิษฐ์กระทงทรงดอกบัวนั้น มาจากหนังสือเรื่อง “นางนพมาศ หรือตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์” โดยความตอนหนึ่งเล่าว่า
“. . . พอถึงการพระราชพิธีจองเปรียง ในวันเพ็ญเดือนสิบสอง เป็นนักขัตกฤษ์ชักโคมลอยโคม บรรดาประชาชนชายหญิงต่างตกแต่งโคมชักโคมแขวนโคมลอยทุกตระกูลทั่วทั้งพระนคร แล้วก็ชวนกันเล่นมหรสพ สิ้นสามราตรีเป็นเยี่ยงอย่าง . . . ข้าน้อยก็กระทำโคมลอยคิดตกแต่งให้งามประหลาดกว่าโคมพระสนมกำนัลทั้งปวง จึ่งเลือกผกาเกสรศรีต่างๆ ประดับเป็นรูปดอกกระมุทบาน กลีบรับแสงพระจันทร์ ใหญ่ประมาณเท่ากงระแทะ ล้วนแต่พรรณดอกไม้ซ้อนสีสลับให้เป็นลวดลาย แล้วก็เอาผลพฤกษาลดาชาติมาแกะจำหลักเป็นรูปมยุระคณานกวิหคหงส์ ให้จับจิกเกสรบุปผชาติอยู่ตามกลีบดอกกระมุท เป็นระเบียบเรียบเรียงวิจิตรไปด้วยสีย้อมสดส่างควรจะทอดทัศนายิ่งนัก ทั้งเสียบแซมเทียนธูปและประทีปน้ำมันเปรียงเจือด้วยไขข้อพระโค . . .”
'นางนพมาศ' เรื่องเรวดีนพมาศ และเรื่องตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นเรื่องเดียวกันทั้งหมด กล่าวถึง 'นางนพมาศ' ผู้มีบิดาเป็นพราหมณ์รับราชการในตำแหน่งพระศรีมโหสถ ครั้งนครสุโขทัยเป็นราชธานีของสยามประเทศ มารดาของนางนพมาศชื่อนางเรวดี บิดามารดาได้นำนางนพมาศถวายทำราชการในสมเด็จพระร่วง ได้เป็นพระสนมเอกตำแหน่งท้าวศรีจุฬาลักษณ์นางได้คิดค้นประดิษฐ์รูปดอกบัวโกมุท และใช้ในพระราชพิธีลอยพระประทีป
“นพมาศ” นั้น ตามคำอธิบายในเรื่องว่า เพราะนางผู้นี้มีผิวสีเหลืองนวลดุจทอง บิดาจึงตั้งชื่อว่า “นพมาศ” แปลว่า “ทองเนื้อเก้า” คือทองคำบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นชื่อที่ไม่พบในเอกสารหรือจารึกใดในประวัติศาสตร์ แต่อีกนามที่ปรากฏในเรื่องคือ “ศรีจุฬาลักษณ์” กลับเป็นชื่อที่ปรากฏในเอกสารประวัติศาสตร์ ทั้งเอกสารฝ่ายอยุธยา และจารึกสมัยสุโขทัย
ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์, ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร