โลกของชานน : โดยนิติพร ชุมศรี ผลงานประเด็นสิ่งแวดล้อมในชุมชน

, 23 กรกฎาคม 61 / อ่าน : 2,059

 

เมื่อชานน เด็กจากต่างจังหวัดต้องเข้ากรุงเทพฯ

จะเกิดอะไรขึ้นกับเขาบ้าง??

 จากนิติพร ชุมศรี เรื่อง "โลกของชานน"




ชานนเป็นเด็กบ้านนอก ครอบครัวมีปัญหา ฐานะยากจน ออกจากโรงเรียนตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น เขาอาศัยอยู่กับหลวงพ่อในวัดเล็ก ๆ ประจำหมู่บ้าน ต้องตื่นเช้าเดินหิ้วปิ่นโตตามหลังหลวงพ่อ อาหารมีให้กินแค่ไหนก็แค่นั้น เขาไม่มีสิทธิ์เลือกกินเหมือนคนทั่วไป ไม่มีเสื้อผ้าดี ๆ ใส่ ไม่เคยได้จับเงิน ไม่เคยซื้ออะไรเลยในชีวิต ทุกสิ่งทุกอย่างได้มาจากการบริจาคและความมีเมตตาจากผู้หลักผู้ใหญ่ที่เข้ามาเยี่ยมเยียนหลวงพ่อ

ชีวิตของเขาแทบจะไม่มีอะไรดีเลย ยกเว้นความดีในตัวเขาเอง
เมื่อหลายปีก่อนพ่อของชานนแยกทางกับแม่ของเขา จากนั้นไม่นานจึงตัดสินใจห่มผ้าเหลืองตลอดชีวิตเพื่อหนีความทุกข์ทั้งหลายในเพศฆราวาส ชานนลาออกจากโรงเรียนเมื่ออายุได้สิบสี่ปี และหันมาศึกษาวิชาชีวิต แต่เขาก็ไม่ได้ละทิ้งวิชาเรียนแต่อย่างใด ชานนชื่นชอบการอ่านหนังสือมาก และแสวงหาความรู้ด้วยตนเองอยู่เสมอไม่ได้ขาด

วันหนึ่งมีเถ้าแก่จากเมืองกรุงเข้ามาถวายสังฆทาน ชานนเข้ามาช่วยเหลือและคอยอำนวยความสะดวกให้กับเถ้าแก่จนเป็นที่ถูกอกถูกใจ
“ ตอนนี้เธอทำงานอะไรอยู่ ?” เถ้าแก่ถามด้วยความสงสัย
“ ผมไม่ได้ทำอะไรครับ คอยดูแลรับใช้หลวงพ่ออย่างเดียว”
“ อยากมีเงินใช้มั้ย ?”
ชานนรู้สึกตื่นเต้นกับคำถาม เขามีความหวังบางอย่างขึ้นมา
“ อยากครับ” เขาตอบตรง ๆ 
“ ฉันทำธุรกิจอยู่กรุงเทพฯ เป็นธุรกิจเกี่ยวกับโรงแรม มีตำแหน่งพนักงานทำความสะอาดว่างอยู่ ถ้าเธออยากทำ ฉันมีที่พักให้ฟรี เธอรับเงินเดือนอย่างเดียว สนใจมั้ย ?”
“ สนใจครับ”
“ งั้นเธอไปขออนุญาตกับหลวงพ่อก่อนนะ อีกสามวันฉันจะมารับเธอไปทำงานด้วย”

พูดจบประโยค เถ้าแก่จึงไปกราบลาหลวงพ่อและพูดคุยกันเล็กน้อย ก่อนเขาจะขับรถหายลับไป ชานนจึงนำความทั้งหมดแจ้งแก่หลวงพ่อ ซึ่งท่านก็อนุญาตแต่โดยดี

สามวันต่อมา... มีรถตู้คันงามแล่นมาจอดหน้าศาลาวัดพร้อมเถ้าแก่คนเดิม ชานนสะพายกระเป๋าเป้ใบเก่าที่มีเสื้อผ้าไม่กี่ชิ้นตรงเข้ากราบลาหลวงพ่อ

นี้เป็นครั้งแรกที่เขาจะได้ออกเดินทางสู่โลกใบใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม ตั้งแต่เด็กจนโต... ชานนไม่เคยได้ออกไปไหนเลย การเดินทางครั้งนี้จึงมีความหมายมากสำหรับเขา และเขาก็หวังว่ามันจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดี เพราะคนในหมู่บ้านแห่งนี้ที่เข้าไปแสวงโชคในเมืองหลวง ไม่เคยมีใครสักคนหวนกลับมายังบ้านเกิดเพื่อบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่ประสบพบเจอให้เขาฟังเลยแม้สักครั้งเดียว จะมีก็เพียงหนังสือที่เขาอ่านและอุทิศชีวิตไปกับเรื่องราวตามตัวอักษรที่พรรณนาถึงชีวิตอันแสนศิวิไลซ์เหล่านั้น มันคือมหานครแห่งความสุขและดินแดนแห่งความฝันที่เป็นจริง คนหลายคนสร้างเนื้อสร้างตัวและกลายเป็นมหาเศรษฐี ณ ดินแดนแห่งนี้ ชานนเองก็อยากเป็นหนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้นเช่นกัน

“ ดูแลตัวเองดี ๆ นะ” หลวงพ่อกล่าวด้วยความเป็นห่วง พร้อมลูบศีรษะลูกชายสุดรักอย่างทะนุถนอม ชานนพยักหน้ารับและประนมมือก้มลงกราบเท้าลาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินขึ้นรถตู้คันงามไป

กรุงเทพมหานคร... เขารู้แต่เพียงว่าเป็นศูนย์กลางของประเทศไทย และเป็นเมืองหลวงที่มีตึกสูง ๆ ขึ้นหนาตามากที่สุด ครั้งนี้แล้วที่เขาจะได้สัมผัสด้วยสายตาตนเองเสียทีว่าสิ่งที่เขาเคยเห็นในหนังสือนั้น มันจะสมจริงแค่ไหนกัน

เอี๊ยดดดด !!!

ทันทีที่เสียงยางรถเสียดกับพื้นลาดยางมะตอย เถ้าแก่พยักหน้าให้สัญญาณ ชานนจึงคว้ากระเป๋าสะพายเปิดประตูลงจากรถ

“ ฮัดเช้ย !” เขาขยี้จมูกตัวเองพลางใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำใส ๆ ที่ไหลออกจากตา

เบื้องหน้าเป็นอาคารคอนกรีตหลังใหญ่หกชั้น เป็นสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา และแน่นอนว่าเมื่อมองไปรอบ ๆ ยังแลเห็นอาคารและตึกที่สูงกว่านี้อีกมาก ชานนสนอกสนใจกับสิ่งใหม่ ๆ เหล่านี้เป็นพิเศษ

เถ้าแก่เดินนำชานนเข้าสู่ภายในโรงแรม มีพนักงานหลายคนยกมือไหว้ด้วยความนอบน้อม ลูกค้าบางคนกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ และอีกหลาย ๆ คนกำลังนั่งรับประทานอาหาร เขาถึงกับกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ด้วยความหิว และเหมือนเถ้าแก่จะสังเกตเห็นจึงพาเขาไปหาอะไรทานก่อนจะกล่าวรายละเอียดแนะนำพื้นที่ใช้สอยแต่ละส่วน และหน้าที่ที่เขาจะต้องรับผิดชอบต่อจากนี้ไป เมื่อเสร็จสรรพ... เขาจึงนำสัมภาระไปเก็บไว้ที่ห้องส่วนตัวซึ่งมีพนักงานอีกคนอยู่ประจำก่อนหน้าแล้ว ชานนเลยถือโอกาสทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมห้องพร้อมทั้งฝากเนื้อฝากตัวเป็นที่เรียบร้อย เขาหวังว่าชีวิตของเขาจะได้รับประสบการณ์ดี ๆ จากการเข้ากรุงในครั้งนี้

เย็นวันนั้น เพื่อนร่วมห้องอาสาพาชานนออกไปเปิดหูเปิดตาชมสภาพของมหานครอันกว้างใหญ่แห่งนี้ เขาตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกที่ได้เห็นบรรยากาศยามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยแสงสีเสียง มันดูน่าหลงใหลและทำให้เคลิบเคลิ้มชั่วขณะ

ทั้งสองหยุดมองร้านอาหารข้างทางร้านหนึ่งก่อนจะตัดสินในย่างกรายเข้าไป

“ อยากกินอะไรก็สั่งเลยนะ เดี๋ยวเลี้ยงเอง” แจ็ค เพื่อร่วมห้องของชานนเอ่ยขึ้นมา

“ ขอบใจนะครับ” เขารู้สึกปลาบปลื้มอย่างบอกไม่ถูก พลางสังเกตเห็นแจ็คล่วงวัตถุอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง ก่อนใช้นิ้วจะกด ๆ เลื่อน ๆ ไปมาอย่างมีความสุข

มันคือโทรศัพท์มือถือที่เดี๋ยวนี้พัฒนาคุณสมบัติเฉพาะตัวรวดเร็วปานสายฟ้า เรามีสมาร์ทโฟนเพียงเครื่องเดียวก็สามารถตอบโจทย์ความต้องการทุกอย่างได้ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นการสั่งอาหาร ซื้อของใช้ต่าง ๆ ตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ การทำธุรกรรมทางการเงิน การจองตั๋วสำหรับเดินทางท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ บนโลกใบนี้ และอีกหลายอย่างที่ท่านทั้งหลายจะนึกได้ ซึ่งมันมีแต่คำว่า “ ได้” เป็นส่วนใหญ่

ชานนอ่านหนังสือพิมพ์ประจำเลยทราบข้อมูลตรงนี้ดี เขาเองมีเพียงโทรศัพท์มือถือรุ่นขาวดำเครื่องเก่าที่หลวงพ่อให้มาเพื่อใช้ติดต่อเมื่อมีเหตุจำเป็นเท่านั้น และเขาเองก็ไม่ต้องการแสวงหาโทรศัพท์รุ่นใหม่ที่มีราคาแพงเลย เพราะรู้ฐานะของตนเองดีและพยายามชั่งใจไม่ให้กิเลสเข้าครอบงำ

“ ผัดกะเพราหมูสับไข่ดาวค่ะ” เด็กเสิร์ฟยกอาหารมาวางตรงหน้า
ชานนกล่าวขอบคุณก่อนลงมือจัดการสวาปามลงท้อง ส่วนแจ็คยังคงนั้งเล่นโทรศัพท์ต่อไปพลางหัวเราะคิกคักอยู่คนเดียว ประเดี๋ยวก็ถ่ายรูปอาหารแล้วก็เล่นโทรศัพท์ต่อไป จนชานนกินจะหมดจานอยู่แล้ว จานข้าวของแจ็คแทบจะไม่มีร่องรอยของการกินเลยสักนิด

...มันช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย เขาหลงลืมคนข้าง ๆ ไปได้อย่างไร ?

ระหว่างที่นั่งรอแจ็ค ชานนก็เริ่มสนใจสิ่งรอบต้วอย่างจริงจัง
เรามีตึกสูงมากมายแทนที่ต้นไม้ เรามีรถสัญจรไปมาทั้ง ๆ ที่ถนนเกือบจะไม่มีที่ให้รถของเราแล่นได้อย่างสะดวก กรุงเทพมหานครของพวกเราเป็นศูนย์กลางในด้านต่าง ๆ รวมทั้งขยะแห่งความเจริญที่กองพะเนินจนสร้างความเดือนร้อนให้ผู้คนไปทั่ว เรามัวแต่พัฒนาจนลืมเตรียมรับผลกระทบที่จะได้จากการพัฒนาเหล่านั้นด้วย ทุกวันนี้โลกร้อนขึ้น เราแก้ปัญหาด้วยการซื้อเครื่องปรับอากาศมาใช้บรรเทา แต่ไอร้อนจากเครื่องปรับอากาศที่ระบายออกนอกบ้านมันกลับยิ่งทวีความร้อนมากยิ่งขึ้น พวกเราทุกคนต่างรู้ถึงวิธีที่จะช่วยทำให้อากาศดีขึ้นอย่างถาวรในระยะยาว แต่พวกเราทุกคนกลับละเลยและต่างก้มหน้ารับผลของการกระทำนั้นต่อไป

“ ฮัดเช้ย !”

เป็นอีกครั้งที่เขาต้องก้มลงเอามือปิดปาก สภาพแวดล้อมที่นี่ชักจะก่อกวนระบบทางเดินหายใจเสียแล้ว มันเหมือนมีอะไรมาอุดตันจมูกทำให้เขาต้องขยี้ออกบ่อย ๆ แถมอากาศก็ร้อนเหลือเกิน ทั้งที่ตอนนี้เป็นเวลาค่ำแท้ ๆ หรือว่าอุณหภูมิของไฟที่กำลังมอดไหม้ก้นกระทะเองที่เป็นตัวการกระจายความร้อนแผดเผาผิวกายของเขา

แจ็คเริ่มลงมือทานข้าวอย่างเอร็ดอร่อยหลังจากเสียเวลาอันมหาศาลไปกับการนั่งเล่นโทรศัพท์ ชานนรู้สึกหงุดหงิดใจไม่น้อย แต่ก็ต้องซ่อนงำอาการเอาไว้ ในขณะเดียวกันหลังของเขาก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อ
“ อยากไปเที่ยวที่ไหนอีกมั้ย ?” แจ็คเงยหน้าขึ้นถาม
“ ไม่ดีกว่าครับ” ชานนตอบไม่คิด
“ เหนื่อยล่ะสิท่า งั้นกินเสร็จก็กลับเลยเนอะ”
“ ครับ” ชานนพยักหน้ารับคำ เขาเหนื่อยใจเหลือเกิน

คืนนั้นชานนนอนไม่หลับ ไม่ใช่ว่าเขาตื่นเต้นกับสถานที่แปลกตา แต่สิ่งที่เขาเผชิญในวันนี้ได้ทำให้เขารู้ว่าสังคมเมืองช่างต่างกับสังคมชนบทยิ่งนัก เขานึกถึงปฏิสัมพันธ์และความใกล้ชิดเมื่อครั้งอยู่บ้านนอก ที่นี่มันช่างห่างเหินยิ่งนัก ทุกคนเร่งรีบและต่างก้มหน้าอยู่กับโลกส่วนตัวของตนเอง

...โลกที่ถูกสมมติขึ้นและไม่มีอยู่จริง

ชานนเหลือกตามองนาฬิกาบนฝาผนังที่ชี้บอกเวลาห้าทุ่มแล้ว แม้แต่ตอนนี้แจ็คยังคงก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ต่อไป ชานนยกแขนขึ้นก่ายหน้าผากและรู้สึกปลงกับภาพที่แลเห็น

หกเดือนผ่านไป...

ชานนนั่งอ่านหนังสืออยู่ในโรงซักรีดหลังจากทำงานหนักมาทั้งวัน เขากำลังอ่านหนังสือที่ว่าด้วยเรื่องของการพัฒนา เขาคิดอยู่เสมอว่าการพัฒนามักจะมาควบคู่กับการสูญเสียบางสิ่งบางอย่างเป็นการแลกเปลี่ยนกัน... และมันมักจะเป็นเช่นนั้นเสมอ ผลจากการเป็นคนรักการอ่านนี่แหละที่ทำให้เขาได้เข้าถึงข้อมูลบางอย่างที่เด็กวัยเดียวกันยากเกินกว่าจะเข้าถึง ความคิดของเขาเองก็ดูเป็นผู้ใหญ่เมื่อเทียบกับวัยรุ่นอายุไล่เลี่ยกัน มันเป็นสิ่งที่ผู้หมั่นแสวงหาสมควรได้รับ และอีกอย่างเขาเริ่มคิดถึงบรรยากาศแบบชนบทเพิ่มขึ้นทุกวัน ๆ

เย็นนั้น แจ็คชวนชานนมานั่งตั้งวงรับประทานอาหารด้วยกันกับเพื่อน ๆ ของเขา เห็นว่าพากันไปจับปลาได้กลับมาตั้งเยอะเลยพากันฉลองปิ้งย่างปลากันไป อากาศรอบ ๆ ตัวร้อนพอ ๆ กับเปลวไฟที่เผาไหม้เตาถ่าน แจ็คยื่นปลาเผาตัวหนึ่งให้กับชานน เขาก้มมองดูปลาผู้น่าสงสารตัวนั้นก่อนใช้ส้อมเขี่ยไปมาและแซะเนื้อกินทีละน้อยผิดกับเพื่อนคนอื่นที่พากันสวาปามเข้าปากอย่างสัตว์นักล่า เขาพยายามรีบกินให้เสร็จแล้วขอตัวมานอนอ่าหนังสือต่อบนเตียงนุ่ม ๆ ในห้อง และเผลอหลับตอนไหนก็ไม่รู้ มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ลำไส้ในท้องมันบิดจนแทบจะลุกเข้าห้องน้ำไม่ทัน

ปัง ๆ ๆ ๆ !!!!
“ ไอ้นน ! เสร็จยัง ?” เสียงตะโกนของแจ็คดังลอดเข้ามา
“ แปบนึง ! ใกล้แล้ว” ชานนตอบกลับ
สักครู่เขาก็เปิดประตูออก แจ็ครีบวิ่งสวมต่อทันที
...นัดกันท้องเสียหรือยังไง ?

ชานนมาทราบทีหลังว่าเพื่อนร่วมวงข้าวเมื่อคืนพากันท้องเสียระเนระนาด บางคนถึงขั้นลุกไม่ไหวต้องนอนดื่มน้ำเกลือแร่เพราะถ่ายหนักหลายรอบ

สาเหตุมันเกิดจากอะไร ?

ก็ปลาไงล่ะ ! ชานนไปสืบเสาะจนรู้ว่าปลาที่นำมาทำอาหารนั้น พวกของแจ็คไปได้มาจากแม่น้ำแห่งหนึ่งไม่ใกล้ไม่ไกลจากโรงแรมแห่งนี้ พวกเขาบังเอิญเห็นปลาพากันตายลอยเต็มคลอง ด้วยความที่รู้เท่าไม่ถึงกาลนึกว่าปลาตายธรรมดาจึงตะลุยไปจับหวังทำอาหารมื้อพิเศษ แต่พวกเขาหารู้ไม่ว่าปลาเหล่านั้นมันตายเพราะสาเหตุใด... แถวนั้นมีโรงงานฟอกย้อมสีผ้าตั้งอยู่ วันดีคืนดีก็จะปล่อยน้ำเสีย ๆ ที่เป็นอันตรายลงสู่แหล่งน้ำ พวกเขาไม่ได้มีความเกรงอกเกรงใจชาวบ้านที่อาศัยน้ำตรงนั้นอุปโภคบริโภคบ้างเลย สิ่งมีชีวิตต่างพากันตายเกลื่อนส่งกลิ่นเหม็นเน่าไปทั่ว แน่นอนว่าในร่างกายของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นย่อมกลืนกินเอาสารเคมีเข้าไปด้วย พวกของแจ็คนับว่าโชคร้ายที่ดันไปเก็บปลาพวกนั้นมากินเลยต้องประสบเคราะห์หนักแบบนี้ กรณีของชานนกับแจ็คถือว่ายังหลงเหลือกรรมดีอยู่บ้างที่ท้องเสียเพียงเล็กน้อย ไม่หนักหนาสาหัสเหมือนคนอื่น ๆ

เหตุการณ์ครั้งนี้สะท้อนให้ชานนหวนระลึกถึงบ้านเกิดเมืองนอน เขาตัดสินใจแล้วที่จะกลับคืนสู่ถิ่นฐานเก่าของตนเอง สถานที่ที่ไม่ต้องหวาดระแวง สถานที่ที่เต็มไปด้วยพืชพรรณป่าไม้ สถานที่ที่เต็มไปด้วยความรักความเมตตาจากคนคุ้นเคย เขาได้เรียนรู้แล้วว่าเมืองหลวงแห่งนี้มีอะไรซ่อนอยู่ การพัฒนาที่เกิดขึ้นในเมืองแห่งนี้ได้ส่งผลกระทบต่อผู้คนอย่างไรบ้าง เราต้องศึกษาถึงข้อดีและข้อเสียของการพัฒนาให้มาก ๆ เราจะรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงและสามารถรับมือกับภัยคุกคามที่เกิดจากการพัฒนาเหล่านี้ได้

จะเห็นได้ว่าในการพัฒนาประเทศ เราต้องใช้ทรัพยากรทางธรรมชาติมากมายเพื่อวางโครงสร้างในโครงการพัฒนาหรือขยายเมืองต่าง ๆ โดยที่เราไม่ได้คำนึงว่าทรัพยากรเหล่านั้นล้วนมีอยู่อย่างจำกัด แต่การเจริญเติบโตของประชากรและความต้องการบางอย่างทำให้มนุษย์ต้องเบียดเบียนธรรมชาติ เราทุกคนต่างมองว่าการพัฒนาจะทำให้ประเทศเดินหน้าไปสู่ความเจริญได้ แต่ถ้าการพัฒนาของเรามันเป็นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่แต่เดิม มันย่อมส่งผลกระทบที่ไม่ดีตามมาอย่างแน่นอน เพราะเราต่างรู้ดีว่าถ้าทรัพยากรธรรมชาติหมดไป มนุษย์คือผู้ที่ต้องแบกหน้ารับผลแห่งการกระทำของตน

 

 


#feedDD #MASS

 

ติดตามเรื่องราวดีๆ อัพเดท สื่อเป็นโรงเรียนของสังคม ที่แฟนเพจ สื่อเป็นโรงเรียนของสังคม ที่นี่



โครงการสื่อเป็นโรงเรียนของสังคม (Media As Social School)

128/177 ชั้น 16 อาคารพญาไทพลาซ่า ถนนพญาไท แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร 10400
128/177 Phayatai Plaza,  16th Fl., Phayathai Rd., Rajthevee, Bangkok 10400 Thailand

โทรศัพท์ : 02-298-0987-8 โทรสาร : 02-298-0989
อีเมล : [email protected]