บ้านของหนู : โดยเรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์ ผลงานประเด็นความรุนแรง

, 15 มิถุนายน 61 / อ่าน : 1,921

เหงื่อไหลออกมาเปียกชุ่มชุดเสื้อกระโปรงผ้าฝ้าย

ความครุ่นคำนึงก้าวเดินติดตามเธอไป ราวกับเงาขนาดมหึมา

จาก เรวัตร์ พันธุ์พิทักษ์ เรื่องบ้านของหนู






เสียงคลื่นทะเลไร่ข้าวโพดครืนครางอยู่รายรอบตัวของบัวบาน ขณะเธอเดินท่องไปเพียงลำพัง หลังเสร็จสิ้นภารกิจประจำวัน บทเพลงลูกทุ่งหลากหลายเพลงหมุนวนอยู่ในหัว บทเพลงที่ขับขานโดยนักร้องลูกทุ่งคนโปรด –พุ่มพวง ดวงจันทร์–

บัวบานอยากให้ที่นี่แปรเปลี่ยนเป็นไร่อ้อย เพราะว่าชีวประวัติของนักร้องผู้เป็นขวัญใจของเธอนั้น เป็นชาวไร่อ้อย เธอหลับตาลงแล้วมองเห็นเด็กหญิงตัวน้อยๆในวัยประถม ติดตามครอบครัวออกไปรับจ้างตัดอ้อย เด็กหญิงคนนั้นวิ่งเล่นและเป็นลูกมือให้พ่อแม่อยู่บนผืนไร่กว้างไกล กลิ่นหอมหวานของต้นอ้อยที่ถูกตัดลงรวมกองเป็นมัด อวลอายอยู่ในสายลมและแสงแดดของฤดูร้อน เด็กหญิงคนนั้นใช้ท่อนอ้อยเหมาะมือต่างไมโครโฟน ก่อนที่เสียงเพลงซึ่งเปล่งกังวานออกมาจากชีวิตน้อยๆของเธอ จะกล่อมสะกดเหล่ากรรมกรผู้กร้านกรำให้ชะงักงัน และเล่นงานบางคนให้ถึงกับต้องปาดป้ายน้ำตา เสียงของเธอหวานปานน้ำอ้อย แต่ทว่าก็เจือด้วยความเศร้า...

บัวบานลืมตาขึ้น เธอรู้สึกได้ถึงความอุ่นที่เอ่อรอบๆหน่วยตา

แสงแดดในฤดูร้อนแล้งเป็นสีเหลืองเข้มราวกับเมล็ดข้าวโพดแก่จัด นี่คือห้วงเวลาปิดเทอมใหญ่ เธอเพิ่งจบชั้นประถมศึกษาปีที่หก และเธอกำลังท่องอยู่ในทะเลไร่ข้าวโพดสีเขียวเข้มไกลสุดตา ท้องฟ้าสีครามประดับด้วยเกล็ดเมฆสีเงิน กลิ่นฝนเจือจางอยู่ในอากาศ อีกาสามตัวบินผ่านไปทางลำเหมืองด้านทิศตะวันตก ดูเหมือนว่าพวกมันกำลังพูดคุยกันด้วยเรื่องตลกโปกฮาพลางก็หัวเราะลั่น

แต่ถึงอย่างไรเสียเธอก็ยังรักและผูกพันกับไร่ข้าวโพดมากกว่า ไร่ข้าวโพดที่คอยเฝ้าร้องเพลงกล่อมเธอมาตั้งแต่ยังแบเบาะ

“หลับเถิดเอย แม่ดาวดวงน้อย แม่สร้อยดอกหญ้า ห่มผ้าห่มสีฟ้า นอนเปลผ้าสีดิน...”

ขณะท่องไปตามทางดินเล็กๆ บัวบานในชุดเสื้อกระโปรงผ้าฝ้ายสีขาวขุ่น (ครูที่โรงเรียนมอบให้เธอ) ไม่เคยหยุดคิดฝันแม้แต่ชั่ววินาทีเดียว เธอกระโดดโลดเต้น หมุนตัว ยืนนิ่งๆ หลับตา สิ่งที่เธอมองเห็นในความมืดช่างแจ่มกระจ่าง

คลื่นทะเลไร่ข้าวโพดโหมซัดพาเธอไกลออกจากชายฝั่งมาเรื่อยๆ

น่าแปลกที่เธอไม่คิดดิ้นรนขัดขืนเลยแม้แต่น้อย ผิดกันลิบลับกับค่ำคืนที่หมูสกปรกลากขาเธอออกมาจากมุ้งที่นอน

เธอลืมตาขึ้น ไม่ปรารถนาเห็นภาพเหล่านั้น ส่ายหัวแรงๆ ราวกับจะให้ภาพเหล่านั้นแตกกระจัดพลัดพราย แต่ก็ยังไม่วายแว่วยินเสียงกรีดร้องของเหล่าหมู มันดังมาจากอาณาบริเวณของฟาร์ม

ป่านนี้บัวลอย-น้องชายของเธอคงเอาแต่นอนอยู่หน้าโทรทัศน์ น้องชายขี้โรคผู้ผ่ายผอมและเงียบงัน

ป่านนี้แม่ของเธอก็คงเหน็ดเหนื่อยอยู่กับการงานในไร่ข้าวโพด แม่ผู้ซึมเศร้าและเฝ้าแต่กล่าวถึงสิ่งที่มองไม่เห็น

ป่านนี้เขาคนนั้น เอ้อ- พ่อของเธอก็คงฝืนทนอยู่กับการงานในฟาร์มเลี้ยงหมู พ่อผู้แปรปรวนและเกรี้ยวกราด

ไม่ เธอไม่ต้องการมองเห็นภาพเหล่านี้ แต่เธอปรารถนาเพียงภาพของราชินีลูกทุ่งผู้นั้นต่างหาก ภาพของเด็กผู้หญิงชาวไร่ผู้ฝันใฝ่ถึงการเป็นนักร้อง แม้ต้องออกมาเสียกลางคันในระหว่างเล่าเรียนระดับประถม เขียนไม่ได้และอ่านไม่ออก แต่ทว่าบทเพลงมากมายกลับซุกซ่อนอยู่ในชีวิตจิตวิญญาณของเธอ

“แม่พุ่มจ๋า หนูอยากเป็นแบบแม่พุ่ม”

บัวบานเผลอกล่าวออกมาดังๆ และราวกับว่าเหล่าต้นข้าวโพดได้พากันโห่ร้องและปรบมือต้อนรับเธอดังเกรียวกราว เธอจึงโน้มหัวนบไหว้ ก่อนจะหักข้าวโพดอ่อนฝักหนึ่งมาถือต่างไมโครโฟน

น้ำเสียงที่หวานเศร้าทำให้หญิงคนงานผู้หนึ่งน้ำตาไหล

กลิ่นกุหลาบจางหายไปจากเรือนกายของแม่นานนักแล้ว

แม่ผู้ผูกเปลผ้าไว้ใต้ร่มไม้ ก่อนทิ้งให้เธอนอนอยู่กับขวดนมข้นหวานอันจืดจาง กับน้องตุ๊กตาเด็กหญิงผ้าขี้ริ้ว

ในวันวัยนั้น แม้ว่าเรือนกายของแม่จะโชกชุ่มไปด้วยน้ำเหงื่อ แต่เด็กหญิงตัวน้อยๆที่นอนอยู่ในเปลผ้ายังคงจดจำถึงกลิ่นกุหลาบได้ตราตรึง ขณะที่แม่ได้โน้มกายลงมองดูเธออยู่เหนือเปล ดวงตาที่เปล่งประกายคู่นั้นราวกับจะพูดว่า “อดทนเอาหน่อยนะจ๊ะคนดี วันข้างหน้าเราจะต้องมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และนางฟ้าน้อยๆของแม่จะได้เรียนสูงๆ ”

สีทองหยดหนึ่งของประกายตาคู่นั้นได้ตกลงประทับกับดวงใจของเด็กน้อย

เธอไม่เคยร้องไห้โยเยให้ผู้เป็นแม่ต้องพะว้าพะวัง เธอนอนกอดน้องตุ๊กตา เฝ้ามองพุ่มใบสีเขียวสดของต้นไม้ มองนกเล็กๆที่ผลัดกันมาร้องเพลงขับกล่อม มองหมู่เมฆ แลเห็นสีต่างๆของท้องฟ้า

เฝ้ามองแม้แต่ฝูงมดแดงที่พากันชักแถวอยู่บนกิ่งก้านไม้ ก่อนที่ไร่ข้าวโพดจะเคลื่อนเข้ามาสู่ชีวิตของเธอ และรับอาสาขับขานเพลงกล่อมแทนแม่

แม่ผู้วิ่งเข้าวิ่งออกระหว่างผืนไร่กับผืนเปล

กลิ่นกุหลาบหอมหวานเจืออยู่ท่ามกลางกลิ่นไร่

เกล็ดเมฆบนท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นดอกบัวหลวงสีขาว

บัวบานหยุดยืนแหงนมองดูบึงฟ้าเนิ่นนาน ฝูงนกกินหอยโบกบ่ายไปทางทิศตะวันออก พวกมันจัดฝูงเป็นรูปหัวลูกศร แสงแดดแยงตาจนสู้ไม่ไหว เธอคิดถึงสระบัวที่อยู่ในวัดของหมู่บ้าน เธอเคยชอบที่นั่น นั่งห้อยขาบนรั้วลูกกรงคอนกรีต เฝ้าฟังเสียงใบโพธิ์เริงร่ายสายลมรำเพย เสียงปลาฮุบปุบปับ เสียงนกเขาคูขัน

ได้เฝ้ามองดูดอกบัวหลวงสีขาวและสีชมพูเบิกบาน ดอกไม้อันเป็นที่มาของชื่อของเธอ ผลิบานขึ้นเหนือน้ำ อายกลิ่นหอมละมุน และเพรียกเรียกเหล่าภู่ผึ้ง

แต่- หลายๆ เดือนที่ผ่านมานี้ เธอรู้สึกว่าเหล่าพระเณรได้เข้ามาใกล้ชิดเธอเกินไป พวกเขาพากันจับจ้องมองดูเธอด้วยแววตาประหลาด (ราวกับแววตาของหมูสกปรกในยามค่ำคืน) พูดจาหยอกล้อว่าเธอกินอาหารหมูหรืออย่างไรจึงได้โตเร็วเกินวัย

“ไอ้เหี้ย” เธอเผลอโพล่งด่าขึ้นในใจ ก่อนจะรู้สึกผิดบาป

และบางรูปถึงกับเสนอจะซื้อโทรศัพท์มือถือให้เธอ เพื่อจะได้คุยกันนานๆ

เหล่าดอกบัวในสระหม่นหมอง ขณะเธอหันหลังวิ่งจากมาพร้อมๆกับเสียงโห่ฮาอึงคะนึง

แม่พร่ำพูดว่า “ลูกทั้งสองเป็นบัวที่พ้นน้ำแล้ว”

คำพูดของแม่ราวกับคมมีดของนายโคฆาต มันแทงลงไปลึกสุดหยั่งแล้วกรีด

ราวโลกนี้เหลือเธอเพียงลำพัง เธอปรารถนาแต่แสงสว่าง ไม่อยากให้มีกลางคืน ไม่อยากกลับบ้าน บ้านที่ประกอบขึ้นด้วยเศษไม้และสังกะสี (แต่ก็เป็นระเบียบและสะอาดสะอ้านด้วยมือของแม่และของเธอ) บ้านและคนที่ประกอบขึ้นเป็นครอบครัว มันก็น่าจะมีความสุขอยู่มิใช่หรอกหรือ สำหรับความพึงใจใฝ่น้อย

คุณครูชอบให้พวกเธอท่อง-
“ฉันรักพ่อ”
“ฉันรักแม่”
“ฉันรักครอบครัว”

บัวบานยังจดจำได้ดีว่า หลายๆ ครั้งที่เธอได้วิ่งออกไปอาเจียนที่หน้าอาคารเรียน ความรักของเธอมีรสขมและขื่นอย่างประหลาด

หลายต่อหลายครั้งที่บัวบานเฝ้าถามแม่ 
“หนูมาจากแม่ แล้วแม่มาจากไหนจ๊ะ”

แม่มีสีหน้าเหมือนคนหลงทางอยู่ในความหลับฝัน เธอปรารถนาได้สัมผัสกับหยดหยาดสีทองของประกายตาคู่นั้น ได้อยู่ในอ้อมกอดของมวลดอกกุหลาบแห่งแม่ อยากได้สองสิ่งนั้นกลับคืนมาจนใจจะขาด

“แม่จ๋า แม่มาจากไหนจ๊ะ”

“ไม่รู้สิ”แม่เอ่ยออกมาเนือยๆ “อยู่ๆแม่ก็ก้าวลงจากรถโดยสารที่สถานีหมอชิต ส่วนพ่อของหนูก็ลงจากขบวนรถไฟที่หัวลำโพง ก่อนที่เราทั้งคู่และคนอื่นๆจะถูกส่งตัวมาที่นี่ ที่ฟาร์มเลี้ยงหมูและไร่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ แล้วพ่อกับแม่ก็ตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกัน แม่รู้เท่านี้เองลูกเอ๋ย”

แม่ปล่อยให้น้ำตารินไหลออกมาเงียบๆ สายน้ำตาสีดำ

“ความรักดีที่สุด จำไว้นะลูก”

“จ้ะแม่ ความรักดีที่สุด”

บัวบานขานรับคำแม่ ก่อนจะวิ่งออกมาอาเจียนที่หน้าบ้าน

“ที่นี่ก็ดีเหมือนกัน” เด็กหญิงคิด “ไร่ข้าวโพดเป็นไร่ข้าวโพด ฟาร์มเป็นฟาร์ม ทุกสิ่งเป็นระบบระเบียบ ควบคุมดูแลง่าย กำจัดง่ายแต่- เป็นไปได้อย่างไรกัน คนไม่มีรากเหง้าเหล่ากอ”

บัวบานเฝ้าแต่ครุ่นคิดวกวนอยู่อีกเป็นนานวันนานเดือน

“หรือว่ารากของแม่ก็เป็นเช่นเดียวกับรากของต้นข้าวโพด ต่ำตื้น แต่- ช่างแม่เถอะ”

มีมือที่มองไม่เห็นผลักไสเธอและแม่ให้ห่างออกจากกันเรื่อยๆ แม้ว่าเธอจะพยายามขืนต้านสักเพียงใดก็ตาม วันคืนหลังๆ มาเธอจึงมักฝันร้าย เธอฝันเห็นทะเลเพลิงโหมท่วมไร่ข้าวโพด เธอฝันเห็นธารเลือดกรากไหลไล่ล่าเธอ เหล่าเศษเถ้าจากทะเลเพลิงกลายเป็นพายุปีกผีเสื้อกลางคืน ธารเลือดกรีดเสียงร้องราวกับหมูถูกเชือด เธอวิ่งและตื่นตระหนกอย่างเดียวดายอยู่ในโลกที่เวิ้งว้าง ไขว่คว้าได้เพียงปีกผีเสื้อสีดำที่เปราะป่น

เธออยากคืนกลับเปลผ้าขะมุกขะมอมผืนนั้น เธอปรารถนาคืนกลับครรภ์แม่ ขดกายหลับฝันอยู่ที่นั่นนิรันดร

เหงื่อไหลออกมาเปียกชุ่มชุดเสื้อกระโปรงผ้าฝ้าย ความครุ่นคำนึงก้าวเดินติดตามเธอไป ราวกับเงาขนาดมหึมา

บัวบานพยายามจินตนาการถึงโลกใบใหม่ ขณะปลายมือของต้นข้าวโพดพากันแตะต้องผิวกายเนื้อตัวของเธออย่างอ่อนโยน แม้ว่าปลายมือเหล่านั้นจะสากคายก็ตาม

“โลกใบใหม่อยู่ที่ไหนจ๊ะ แม่ข้าวโพดจ๋า”

น้ำตาหยดหนึ่งร่วงลงสู่ผืนดินตฤณชาติ

ฝูงอีการ้องชักชวนเธอไปที่ไหนสักแห่ง เธอเด็ดดอกหญ้าสีขาวแล้วขว้างตามหลังพวกมันไป หัวเราะและร้องไห้ รู้สึกเติบโตขึ้นท่ามกลางความทุกข์เศร้า

วูบหนึ่งเธอคิดถึงจักรยานคู่ใจ จักรยานสีฟ้ากลางเก่ากลางใหม่ เสียดายที่เธอไม่ได้พามันมาด้วย

“หากจะขี่ไปให้ถึงขอบฟ้าโน่น จะต้องใช้เวลากี่วันกี่เดือนกันนะ”

บัวบานหยุดยืนครุ่นคิด พลางเฝ้ามองขอบฟ้าสีครามเลือนราง เธออยากมีปีกเหมือนกับฝูงนกเหล่านั้น เพื่อนๆ ของเธอก็คิดรู้สึกเช่นเดียวกัน บัวลอยก็ด้วย

ครั้งหนึ่งเธอเคยเอ่ยถามผู้เป็นแม่

“แม่จ๋า แม่อยากมีปีกไว้บินไหมจ๊ะ”

แม่ส่ายหน้าและยิ้มเศร้า “ปีกของแม่มันหักหายไปนานแล้วลูกเอ๋ย”

“แม่ก็ฝันถึงหรือจินตนาการมันขึ้นมาใหม่สิจ๊ะ”

“แม่คิดแต่เพียงแค่ให้พวกเรามีที่ซุกหัวนอนและท้องอิ่มเท่านั้นเอง ความใฝ่ความฝันตายจากแม่ไปนานแล้วลูกเอ๋ย”

บัวบานขับขานข้างใน “ตายจากไปพร้อมๆกับกลิ่นกุหลาบในกายของแม่นั่นกระมัง”

เธอเฝ้ามองขอบฟ้าแล้วใคร่ครวญ หากว่าเธอเกิดมาเป็นผู้ชายก็คงจะดี เธอจะออกจากบ้านไปแสวงโชคยังโลกกว้าง เหมือนกับตัวละครในนิทานหลายๆ เรื่องที่เคยได้อ่าน ในห้องสมุดเล็กๆของโรงเรียน อันเป็นสถานที่หลบเร้นของเธอ

“แต่ชีวิตนั้นเลือกเกิดไม่ได้ และก็ไม่ใช่นิทาน แม้ใครสักคนจะกล่าวไว้ว่า –แต่เราสามารถเลือกใช้ชีวิตได้- อย่างไรกันล่ะ เลือกใช้ชีวิตได้ ดูคนส่วนใหญ่ในประเทศนี้สิ ดูแม่สิ และดูตัวเรานี้สิ”

เสียงข้างในของเธอราวไม่ใช่ของเธอ แต่เป็นเสียงที่ผ่านมาทางเธอ เธอ-เด็กหญิงวัยสิบสองปีที่เพิ่งเรียนจบชั้นประถมหก และยังไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าจะมีโอกาสได้เล่าเรียนต่อยังชั้นมัธยมหรือไม่ เธอผู้ไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับเพื่อนฝูงคนอื่นๆ เธอผู้ถูกใครต่อใครในชุมชนแห่งนี้ทักเป็นเสียงเดียวกันว่าเติบโตเป็นสาวเกินวัย

หลายต่อหลายคืน บัวบานฝันว่าพ่อขุนเธอและน้องชายด้วยอาหารหมู เขาเฝ้ายืนมองดูเธอและน้องชายกินอาหารเหล่านั้นด้วยแววตาวาวโรจน์ รังสีจากดวงตาคู่นั้นทำให้เธอรู้สึกเล็กลีบและสะท้านเยือกเข้าไปถึงขั้วหัวใจ (หากว่ามันยังมีอยู่) ก่อนที่เขาจะใช้มีดเล่มขาววับไล่แทงเธอกับน้อง เสียงกรีดร้องโหยหวนของหมูทำให้เธอสะดุ้งตื่น รู้สึกได้ถึงเหงื่อที่เปียกชุ่มไปทั้งร่าง

ก่อนที่หมูสกปรกจะลากขาเธอออกไปจากมุ้ง

ค่ำคืนในไร่ข้าวโพด พร่างพราวด้วยดวงดาริกาใหญ่น้อย ระงมอยู่ด้วยเสียงหริ่งหรีดเรไร โปรยปรายอยู่ด้วยฝนน้ำค้าง เธอร่ำไห้จนน้ำตาแห้งหมดตัว เจ็บปวดราวร่างกายแตกแยกออกเป็นเศษเสี่ยง

เสียงหอบหายใจของหมูตะกละทำให้เธออาเจียนรดราดตัวเอง

เหล่าต้นข้าวโพดโศกซึมได้แต่ร้องเพลงกล่อม

“หลับเถิดเอย แม่ดาวดวงน้อย แม่สร้อยดอกหญ้า ห่มผ้าห่มสีฟ้า นอนเปลผ้าสีดิน...” และแว่วเสียงแม่แทรกเข้ามาในโสตประสาท

“ชาติที่แล้ว ลูกเคยเป็นเมียของเขา”

บัวบานก้าวขาไม่ออก ความรู้สึกโกรธเกลียดทำให้เธอแทบจะลุกเป็นไฟ เนื้อตัวของเธอสั่นเร่า ก่อนที่ทำนบน้ำตาจะพังทลาย

เธออยากรู้เหลือเกินว่าก่อนที่-“แม่พุ่มพวง”-จะสิ้นลมหายใจ “แม่”ได้ร้องบทเพลงใดขับกล่อมให้ตัวเอง

“เมื่อสุริยนย่ำสนธยา หมู่นกกาก็บินมาสู่รัง...”

บัวบานเปล่งเสียงร้องออกมาได้เพียงเท่านั้น ก่อนจะพ่ายแพ้ให้กับก้อนสะอื้นที่แล่นขึ้นจุกคอหอย

สองมือของเธอกำแน่นโดยไม่รู้ตัว เสียงกรีดร้องของเหล่าหมูดังอยู่ในห้วงลึกข้างใน และราวกับจะติดตรึงไปตลอดชีวิต ความโกรธเกลียดชั่วแล่นทำให้เธอสาปแช่ง ขอให้ไฟลุกท่วมเวิ้งไร่ข้าวโพดและชุมชนแห่งนี้ให้วอดเป็นจุณ ก่อนจะรู้สึกตัวและสำนึกเสียใจ พลางกล่าวขอโทษเหล่าต้นข้าวโพดที่รักและผูกพัน

ดวงตะวันบ่ายคล้อย เธอหันมองกลับไปยังทิศทางที่บ้านตั้งอยู่ ภาวนาให้ตะวันเคลื่อนดวงอย่างช้าๆ เธอไม่อยากกลับไปที่นั่น แม้ใจจะเป็นห่วงเจ้าน้องชายขี้โรค

ถ้าหากเธอเกิดมาเป็นผู้ชาย เธอจะออกไปเผชิญโลกเสียตั้งแต่บัดนี้ เก็บเสื้อผ้าข้าวของลงกระเป๋าเป้ มีเงินติดตัวไปจำนวนหนึ่ง มุ่งตรงไปยังสถานีขนส่งประจำเมือง เข้าไปเริ่มต้นชีวิตที่ในเมืองหลวง ไม่เกี่ยงและไม่หวั่นเกรงสำหรับการงานอันต่ำต้อยหรือหนักเหนื่อย

“ลาก่อน แม่จ๋า...”

เธอจะทิ้งถ้อยคำไว้แต่เพียงเท่านั้น เฉกเช่นเดียวกับถ้อยคำแสนสั้นบัดซบที่แม่ใช้ปลอบประโลมเธอ

“เมื่อชาติที่แล้ว ลูกเป็นเมียของเขา...”

จู่ๆ บัวบานได้กรีดร้องออกไปสุดชีวิต เสียงกรีดร้องโหยหวนนั้นได้ทำให้หญิงชาวไร่ผู้หนึ่งเป็นลมล้มพับ เดือดร้อนให้เหล่าเพื่อนคนงานต้องกรูกันเข้ามาช่วยปฐมพยาบาล

เธอคงต้องจบชีวิตลงในชุมชนเชิงเดี่ยวแห่งนี้เป็นแน่แท้ พร้อมๆกับที่ปีกความใฝ่ฝันได้ด้วนกุดลง ไม่ได้เล่าเรียนต่อ กลายเป็นเพียงวัตถุบำเรอความใคร่ของหมูสกปรกตะกละตะกลาม เป็นไม่ได้แม้เพียงเศษเสี้ยวของ-“แม่พุ่มพวง”

ถ้วยรางวัลใหญ่น้อยตั้งวางเรียงรายอยู่ในตู้กระจกของโรงเรียน ถ้วยเหล่านั้นได้มาจากการเดินสายประกวดร้องเพลงของเธอ เธอได้มันมาพร้อมกับสมญานาม-“พุ่มพวงน้อย”

และขณะนี้เธอกำลังเดินเคว้งคว้างอยู่ท่ามกลางผืนไร่กว้างไกล มืดมนภายใต้แสงแดดสีทอง ยื่นมือออกไปฉวยคว้าได้เพียงอากาศธาตุ

ดูเหมือนเธอกับแม่ห่างไกลออกจากกันไปเรื่อยๆ เมื่อกลิ่นกุหลาบเลือนหาย และประกายสีทองของดวงตานั้นเหือดแห้ง

ระยะหลังๆ มาแม่ไม่เคยโอบกอดเธอแม้แต่ครั้งเดียว บัวบานเพิ่งฉุกคิดขึ้นได้ในขณะนี้เอง แม่เอาแต่กล่าวถึงกรรมเก่า โชคชะตาฟ้าลิขิต เงียบใบ้อยู่ภายใต้อารมณ์อันแปรปรวนกราดเกรี้ยวของพ่อ ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะปกป้องเธอให้พ้นจากการคุกคามของหมูสกปรก

ไม่เคยปลอบประโลมยามเมื่อเธอฝันร้าย

เสียงกรีดร้องของเหล่าหมูที่กำลังถูกเชือด

เลือด

ไฟ

เธอร้องเพลงกล่อมตัวเอง ต้นข้าวโพดเหล่านั้นก็ร้องเพลงกล่อมเธอ ขณะที่เหล่าเพื่อนบ้านเฝ้ามองดูเธออย่างคลางแคลงสงสัย

เฝ้ามองดูบัวน้อยๆดอกหนึ่งค่อยๆ เปื่อยเน่าอยู่ในบึงโสโครก

หมูสกปรกบังคับให้เธอกลืนกินเม็ดยาคุมกำเนิดของแม่ ในชั้นเรียนประถมหก บัวบานรู้สึกครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่หน้าแผ่นกระดานดำ อาการเหม่อฝันทำให้ผลการเรียนของเธอตกต่ำลง และความโศกเศร้าที่จู่โจมเข้ามาอย่างปุบปับฉับพลัน ทำให้บทเพลงที่เธอกำลังขับขานอยู่ล่มลงอย่างไม่เป็นท่า

ปีกความใฝ่ฝันของเธอลีบเล็กลงโดยไม่รู้ตัว

แล้ววันหนึ่งเธอก็จะตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกันกับผู้เป็นแม่ ไม่มีรากเหง้า และไม่รู้ว่าเกิดมาเพื่ออะไร

บัวบานเดินก้มหน้างุด ขณะกลับไปยังทิศทางเดิม

คลื่นทะเลไร่ข้าวโพดพัดพาเธอคืนกลับชายฝั่ง นางฟ้าน้อยๆของแม่เติบโตขึ้นเป็นเด็กสาวผิวสีเนียนแดด (พระบางรูปในวัดเคยเปรยให้เธอได้ยินว่า ฝรั่งแถวพัทยาคลั่งไคล้ผิวสีแบบนี้ยิ่งนัก)

แล้วจู่ๆบัวบานก็นึกอยากไปเที่ยวทะเลขึ้นมาอย่างจับจิต ชั่วชีวิตของเธอไม่เคยได้สัมผัสมันเลยสักครั้ง ท้องทะเลสีเขียวมรกตที่เคยได้เห็นจากจอโทรทัศน์ และเธอฝันเตลิดไปว่าได้สวมใส่ชุดบิกินีน้อยๆ ขณะเยื้องกรายไปบนผืนทรายนุ่มเนียนเปียกชุ่ม

“พัทยารึ?”

บัวบานเอ่ยถ้อยคำออกมาราวละเมอ พลางเพ่งพิศผิวสีเนียนแดดที่แขนทั้งสองข้าง เลิกชายกระโปรงขึ้นสำรวจดูแข้งขา ดอกบัวดอกล่าง สองดอกบัวข้างบน พลันวูบความโกรธเกลียดที่มีต่อหมูสกปรกก็แล่นขึ้นหัวใจเป็นริ้วๆ

เมื่อก้าวขึ้นบ้าน ทั้งบ้านมีเพียงน้องชายผ่ายผอมนอนดูรายการอยู่หน้าจอโทรทัศน์ รายการนั้นกำลังแสดงการทำอาหารโดยพิธีกรครึ่งชายครึ่งหญิง แล้วจู่ๆเจ้าน้องชายของเธอได้เอ่ยขึ้น

“อยากกินผัดผักบุ้งไฟแดง พี่ทำให้หน่อยสิ”

บัวบานเป็นพี่ที่รักน้องด้วยจิตใจแท้จริง ไม่ใช่เกิดขึ้นจากการบังคับบัญชาของพ่อแม่ เธอเอาน้องซ้อนท้ายจักรยานไปโรงเรียนทุกวัน คอยปกป้องน้องขี้โรคจากการรังแกกลั่นแกล้งของเหล่าเด็กผู้ชายที่แข็งแรงกว่า คอยสอนหนังสือและการบ้านให้น้อง น้องผู้มีอายุน้อยกว่าเธอสองปี เขาเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ในการวาดเขียน บัตรอวยพรปีใหม่ครั้งล่าสุดที่เขาวาดให้เธอ เป็นภาพเด็กหญิงถักผมเปียสองข้าง กำลังยืนร้องเพลงอยู่ท่ามกลางผืนไร่ที่ต้นข้าวโพดเพิ่งแตกผลิยอดใบ โดยมีนกสีทองตัวหนึ่งจับอยู่ที่บ่าไหล่ และใต้ภาพนั้นถูกกำกับด้วยถ้อยคำ-

“พี่สาวแสนรัก”

เมื่อนึกขึ้นคราวใด น้ำตาก็ไหลทะลักเมื่อนั้น แม้กระทั่งกำลังขลุกขลักอยู่หน้าเตาไฟในขณะนี้ก็ตาม บัวบานเด็ดผักบุ้งทั้งก้านและใบใส่ลงกะละมังใบย่อมๆ บุบพริกขี้หนูและกระเทียมตามลงไป เหยาะน้ำปลา เต้าเจี้ยว น้ำตาลทราย พริกไทยป่น แล้วตั้งกระทะ เติมน้ำมัน เร่งไฟแรง เฝ้ารอให้เสียงน้ำมันเงียบสนิท และไอควันสีเขียวอวลคลุ้ง

เสียงเหล่าหมูกรีดร้องดังมาจากฟาร์ม เล่นเอาขนกายของเธอลุกกรูเกรียว

เลือด

ไฟ

“ชาติที่แล้ว ลูกเป็นเมียของเขา”

“พี่สาวแสนรัก”

“ลาก่อน แม่จ๋า ดอกบัวของหนูขยายใหญ่เพียงพอต่อผู้ชายทั้งโลกแล้ว”

และ...

ฉับพลันที่เธอคว่ำกะละมังลงเหนือกระทะเหล็กร้อนจัด เปลวไฟทั้งหลายทั้งปวงก็ได้ลุกโชนขึ้นท่วมหลังคา ฝาผนัง พื้นบ้าน บัวบานกรีดร้อง บัวลอยก็เช่นกัน สองคนพี่น้องพากันวิ่งลงมาจากบ้าน ก่อนจะวิ่งเตลิดเข้าไปในผืนไร่ โดยมีกลุ่มควันสีดำรุกไล่ตามหลัง เสียงถังแก๊สระเบิด-บึม เปลวไฟจากบ้านพักลุกลามเข้าสู่ผืนไร่ส่งเสียงเปรี๊ยะปร๊ะ ส่งกลิ่นเขียวเข้ม พร้อมๆกับพรูฝูงปีกผีเสื้อสีดำขึ้นว่ายว่อนเวิ้งฟ้ายามบ่าย

แม้ว่าจะตกอยู่ในห้วงหวาดสะทกจนแทบคลุ้มคลั่ง แต่บัวบานก็ยังสามารถหาคำอธิบายที่จะให้การแก่คนทั้งโลกได้ ว่าเหตุที่เธอจำต้องหนีออกจากบ้านมา ก็เพียงเพราะว่าน้องชายที่แสนรักของเธอนึกอยากกินผัดผักบุ้งไฟแดง

สองพี่น้องวิ่งต่อไปโดยไม่ยั้งหยุด วิ่งไปในทิศทางเดียวกับอีกาฝูงหนึ่ง (นกที่เอาแต่เล่น ลักขโมยเล็กๆน้อยๆพอให้หัวใจได้ตื่นเต้น ด่าทอ หัวร่อ...)

มุ่งไปสู่เบื้องบูรพา

 

 

#feedDD #MASS

 

 


ติดตามเรื่องราวดีๆ อัพเดท สื่อเป็นโรงเรียนของสังคม ที่แฟนเพจ สื่อเป็นโรงเรียนของสังคม ที่นี่

 


โครงการสื่อเป็นโรงเรียนของสังคม (Media As Social School)

128/177 ชั้น 16 อาคารพญาไทพลาซ่า ถนนพญาไท แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร 10400
128/177 Phayatai Plaza,  16th Fl., Phayathai Rd., Rajthevee, Bangkok 10400 Thailand

โทรศัพท์ : 02-298-0987-8 โทรสาร : 02-298-0989
อีเมล : [email protected]