นอกสายตา : โดยรัชพล มีฤกษ์ ผลงานประเด็นความรุนแรง

, 15 มิถุนายน 61 / อ่าน : 1,675

เพราะครอบครัวเป็นจุดเริ่มต้น และอาจเป็นจุดจบเช่นเดียวกัน!

และนี่คืออีกหนึ่งบทความในประเด็น "ความรุนแรง"

จากรัชพล มีฤกษ์ เรื่อง "นอกสายตา"






แม่กลับจากงานเลี้ยงกาล่าดินเนอร์ที่สโมสรตอนห้าทุ่ม ผมเจอแม่ตอนลงมาหยิบนมในตู้ดื่ม แต่ยังไม่เห็นพ่อ สงสัยคืนนี้พ่อคงยังไม่กลับ แม่นั่งลงตรงโต๊ะกินข้าว จ้องมองมายังผมแล้วเอ่ยขึ้น“ติณ,ลูกคือความภูมิใจที่สุดของแม่”หลังจบประโยคมีกลิ่นแอลกอฮอล์ลอยอวลตามเสียงมาจางๆ ผมยิ้มตอบ แล้วแม่ก็ยิ้มตาม

“แล้วนี่อีดามันไปไหน”แม่ถามถึงสาวใช้ประจำบ้าน

“พี่ดาคงหลับแล้วล่ะมั้งครับ เห็นพี่แกบ่นว่าเหนื่อยตอนส่งผมเข้านอน”

“ถึงว่าสิ ไม่เห็นมีใครไปเปิดประตูให้...”

แม่พูดยังไม่ทันขาดคำ เสียงแตรรถก็ดังขึ้นหน้าบ้าน พ่อกลับมาแล้ว แม่จึงจำต้องลุกไปเปิดประตูเอง “พรุ่งนี้ฉันจะด่ามันให้เข็ด” แม่บ่นพึมพำก่อนเดินออกไป

พ่อกลับมาด้วยอาการมึนเมาเหมือนเช่นทุกคืน แต่คืนนี้แปลกตรงที่มีรอยลิปสติกติดเสื้อกลับมาด้วย “นี่คุณไปเที่ยวมาเหรอ”แม่ถามขึ้นเสียงดัง แต่ยังไม่ทันที่พ่อจะตอบอะไร แม่ก็พูดต่อ“ทำไมคุณทำแบบนี้ คุณไม่เกรงใจฉัน ไม่ห่วงหน้าตาของฉันบ้างเลย ตอนนี้น่ะฉันเป็นนายกสมาคม...แล้วนะ” แม่พูดพร้อมกระหน่ำกำปั้นน้อยเข้าใส่หลังพ่อ พ่อปัดมือสองข้างของแม่ออกเหมือนคนพึ่งคืนสติ

“ผมจะทำอะไรมันก็เรื่องของผม นี่คุณอย่าลืมนะ ว่าไอ้ที่มีกินมีใช้กันอยู่ทุกวันนี้ มันก็เพราะเงินผม”น้ำเสียงของพ่อฟังดูอ้อแอ้เต็มที

“นี่คุณกล้าพูดแบบนี้กับฉันเรอะ”แม่เริ่มขึ้นเสียงบ้าง

“ทำไม! ทำไมผมจะพูดไม่ได้” พ่อตะคอกกลับ

“งั้นคุณก็คงลืมไปนะ ว่าบ้านหลังเนี่ยมันเป็นของฉัน” แม่ตวาดเสียงลั่น

“ได้, ถ้างั้นก็เชิญคุณอยู่ในบ้านของคุณไปเถอะ ผมจะไปอยู่ที่อื่น” ว่าแล้ว พ่อก็หันหลังเดินออกไป แม่เดินไล่หลังตามพ่อไปติดๆ “นี่คุณ...กลับมาคุยกับฉันให้รู้เรื่องก่อนนะ...”

ผมยืนซุ่มดูอยู่ข้างราวบันได นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเห็นพ่อกับแม่ทะเลาะกัน ภาพเหล่านี้มักเกิดขึ้นบ่อยครั้งในครอบครัวเรา จนเรียกว่าแทบชินหูชินตา เกือบทุกคืนที่พ่อกับแม่กลับดึก และต้องทะเลาะกัน ซึ่งแน่ละ,ผมไม่เคยชอบมันเลยสักครั้ง ผมเริ่มนึกย้อนไปในวันที่เราอยู่ทานข้าวเย็นกันพร้อมหน้าพร้อมตาอย่างมีความสุขพ่อ แม่ พี่สาวและตัวผม ภาพแห่งความอบอุ่นนั้นนับวันจะเริ่มเลือนลางลงทุกที

พ่อเดินไปที่ประตูแต่ยังไม่ทันจับลูกบิด ล็อกประตูก็เปิดออก หญิงสาวร่างบางในชุดนักเรียนปรากฏตัวขึ้นภายใต้เงาดำที่คลี่คลุมร่างเธอไว้ “นี่ก็อีกคน ได้ฤกษ์กลับบ้านแล้วเหรอนางตัวดี!” หญิงสาวผู้มาใหม่ไม่สนใจตอบคำ เธอยกมือขึ้นไหว้พอเป็นพิธี ก่อนจะจ้ำก้าวผ่านพ่อและแม่มาอย่างรวดเร็ว

“นี่! แม่พูดไม่ได้ยินเหรอ” แม่ตะคอก แต่พี่สาวยังคงเงียบอยู่

“วันนี้ที่โรงเรียนโทรมา... แกไม่ได้ไปเรียนใช่ไหม”

พี่สาวชักเท้ากลับจากขั้นบันได ลงมายืนประจันหน้ากับแม่

“ใช่! หนูไม่ได้ไป แม่เคยสนใจหนูด้วยหรอ” “แกรู้มั้ย ฉันอายมากแค่ไหนที่มีลูกอย่างแก” แม่พูดเสียงดังเกือบตะโกน

“อาย!”พี่สาวย้ำคำ “แม่อายเพราะห่วงหน้าตาของแม่มากกว่า แม่ไม่เคยห่วงหนูหรอก”พี่สาวตอบอย่างน้อยกน้อยใจ แม่ดูฉุนกับคำตอบของพี่“เดี๋ยวนี้แกกล้าย้อนฉันเหรอ”

“ก็หนูพูดความจริง แม่ไม่เคยรักหนู” สิ้นคำพูดพี่ แม่ง้างมือตบหน้าเธออย่างแรง เธอยกมือขึ้นกุมแก้มข้างที่โดนตบอย่างช้าๆ น้ำตาค่อยๆไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง แรงตบจากมือแม่คงลั่นลึกลงไปถึงจิตใจของเธอ เธอเลื่อนมือขึ้นปาดน้ำตาที่เปื้อนแก้ม ก้มหน้า แล้ววิ่งขึ้นบันไดไป

“ทำไมบ้านนี้มันมีแต่ปัญหาวะ”พ่อตะโกนเสียงลั่น ก่อนเดินโซเซออกนอกประตูไป

“ที่เรื่องมันเป็นแบบนี้ก็เพราะคุณนั่นแหละ เพราะคุณคนเดียว...” แม่ตะโกนไล่หลังพ่อไปอีก สิ้นเสียง แม่นั่งลงร้องไห้สะอื้นกับพื้น ผมเดินเข้าไปสวมกอดแม่แทนคำปลอบโยน นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ที่แม่ทะเลาะกับพี่สาว แต่ดูท่าว่าครั้งนี้จะหนักสุด เพราะผมไม่เคยเห็นแม่ตบหน้าพี่มาก่อนเลยในชีวิต

ดึกดื่นคืนเดียวกันนั้นแม่เข้านอนแล้ว แต่ผมกับพี่ยังไม่นอน เธอเก็บเสื้อผ้า และรูปถ่ายบนหัวเตียงยัดใส่กระเป๋าสะพายใบเล็กของเธอ

“พี่จะไปไหน” ผมถาม

“ไปให้พ้นจากที่นี่” เธอตอบเสียงเบา

“ทำไม! ที่นี่บ้านเรานะ”

“ก็นั่นแหละที่แม่ไม่อยากให้พี่อยู่”

“ไม่ใช่ซะหน่อย”

“ใช่ เธอยังเด็ก เธอไม่รู้อะไร” พี่ถอนใจยาว คราวนี้เธอหันหน้ามาทางผม

“พี่ไม่ได้เรียนเก่งเหมือนเธอ ไม่ใช่ความภูมิใจของแม่ ไม่ใช่หน้าตาของแม่ พี่ทำให้แม่ผิดหวังตลอด...พี่มันตัวปัญหา!” สิ้นคำพูดนั้น เธอปล่อยน้ำตาที่กลั้นไว้ออกมาเป็นสายไม่หยุด

เสียงสะอื้นยังคงดังอยู่ต่อเนื่องจนพี่หิ้วกระเป๋าออกไปจากห้อง ผมสุดปัญญาแล้วที่จะรั้งเธอไว้ มองไปนอกหน้าต่างเห็นรถแท็กซี่จอดรออยู่หน้าบ้าน ผมรอดูจนพี่ก้าวขึ้นรถไป แล้วล้มตัวลงนอน ข่มตา แต่นอนไม่หลับ ในใจนึกถึงแต่เรื่องเมื่อค่ำและคำพูดสุดท้ายของพี่

ในรุ่งเช้าของวันที่ห้านับจากที่พี่และพ่อหายออกไปจากบ้าน แม่ยังคงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆที่ผมก็รู้ว่าแม่เองก็เสียใจกับสิ่งที่ทำ กับกรณีของพ่อผมเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ แต่กับพี่ผมไม่ ทำไมแม่ถึงไม่ออกตามหาพี่? ทั้งๆที่พี่ก็เป็นลูกแม่ทั้งคน ผมเคยถามแม่ แม่ตอบเพียงว่า”ดีแล้ว มันจะได้รู้ซะบ้างว่าไม่มีแม่มันจะเป็นยังไง” ผมว่าแบบนี้มันไม่ยุติธรรมสำหรับพี่เลย เพราะแม่และพี่ต่างก็ผิดด้วยกันคนละครึ่ง และที่สำคัญคือสิ่งที่พี่พูดในวันนั้นเป็นความจริง

แม่ไม่เคยสนใจเราตั้งแต่เริ่มเข้าสังคม แม่กลับบ้านดึก เมามาย ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือแม่กับพ่อหาเรื่องมาทะเลาะกันได้ทุกวัน ผมจำได้ว่าช่วงที่พี่กำลังจะสอบเข้าโรงเรียนมัธยมชื่อดัง ตอนนั้นเธอตั้งใจอ่านหนังสือหนักมาก เธอดูต้องการคำปรึกษา ต้องการกำลังใจจากพ่อและแม่ แต่กลับไม่มีใครสนใจเธอเลย ซ้ำร้ายพอเธอสอบไม่ติด แม่กลับมาต่อว่าเธออย่างหนัก ทั้งยังยกลูกเพื่อนแม่และผมมาเปรียบเทียบกับพี่อีก พี่จึงกลายเป็นคนเก็บกด ซึมเศร้านับแต่นั้น และยิ่งผลการเรียนของเธอค่อยๆตกต่ำลงสวนทางกับผมซึ่งเป็นน้องชายด้วยแล้ว จึงทำให้เธอกลายเป็นคนนอกสายตาของพ่อและแม่ไปโดยปริยาย

เช้าวันนี้แม่ดูตื่นเต้นกว่าทุกวัน แม่ลุกขึ้นทำผมตั้งแต่ตีห้า ประดับประดาเนื้อตัวด้วยเพชรนิจจินดามากมาย แม่คงพร้อมแล้วสำหรับงานในวันนี้...

วันนี้ทางโรงเรียนให้แม่มารับรางวัลแม่ดีเด่นประจำปี ซึ่งออกจะเป็นเรื่องปกติ เพราะแม่ได้มันทุกปี แม้ผมจะรู้สึกว่ามันขัดกับความเป็นจริงอยู่บ้างก็ตาม ระหว่างที่นั่งรอรับรางวัลอยู่นั้น แม่ก็เจอเข้ากับเพื่อนที่สมาคมของแม่ ซึ่งอีกฝ่ายทำผมฟูๆประหลาดๆไม่แพ้กัน ยิ่งไปกว่านั้นคือบทสนทนาของทั้งคู่ก็ฟังดูแปลกๆ แต่พอจะฟังออกอยู่บ้าง

“คุณพี่มารับรางวัลเหมือนกันเหรอค่ะ” 
“ใช่เลยค่ะคุณน้อง โฮะๆ” แม่เริ่มหัวเราะเป็นเสียงแปลกๆออกมา

“แหม!น่าอิจฉาครอบครัวคุณพี่จริงๆเลยนะค่ะ มีลูกเรียนเก่ง มีสามีคอยเอาใจ”

“ค่า” แม่ตอบ แล้วยิ้มหน้าเจื่อนๆ

“วันก่อนคุณสมยศยังมาปรึกษาเดี๊ยนอยู่เลย ว่าควรจะซื้อลิปสติกสีอะไรให้คุณพี่ดี”

“ลิปสติกเหรอค่ะ?” แม่เลิกคิ้วมาชนกัน

“ใช่ค่ะ ช่างเป็นผู้ชายที่โรแมนติกอะไรอย่างนี้ โฮะๆ”

แม่นึกไปถึงรอยลิปสติกที่เห็นในคืนวันนั้น จะว่าไปมันก็ดูไม่เหมือนรอยจูบซะทีเดียว มันเหมือนรอยขีดที่พาดไปโดนเสื้อเสียมากกว่า แม่คิดเช่นนั้นจึงผลิยิ้มน้อยๆออกมา

หลังเสร็จงานรับรางวัลที่โรงเรียน แม่ตัดสินใจปฏิเสธงานที่สโมสรและสมาคมทั้งหมด แม่ยังบอกอีกว่าต่อไปจะรีบกลับบ้านอยู่กับผมให้มากขึ้น ผมดีใจที่สุดเพราะนั่นคือสิ่งที่ผมเฝ้ารอมาตลอด จากนั้นจึงโทรหาพ่อเพื่อพูดคุยทำความเข้าใจกัน ...และเย็นวันนี้เรากำลังจะมีดินเนอร์มื้อใหญ่ แม่โทรสั่งให้พี่ดาออกไปซื้อของสดมาเตรียมไว้ และอีกสายที่แม่โทรหาคือพี่สาว แต่เธอไม่รับสาย พี่อาจจะยังโกรธแม่อยู่ และนั่นคือสิ่งที่หุบยิ้มของแม่ลง แม่ขับรถต่อไปอีกสักพักก็ถึงบ้านของเรา

ผมไขกุญแจแล้วผลักประตูเข้าไปในบ้านแต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้ล็อกไว้ ไม่แน่ว่าพ่ออาจกลับมาแล้ว หรือไม่พี่ดาก็อาจจะลืมล็อกเสียเอง ทันทีที่ผมกับแม่ก้าวพ้นธรณีประตูไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ต้องผงะกับภาพที่เห็นตรงหน้า ร่างของพี่สาวลอยคว้างอยู่กลางอากาศ คอของเธอถูกดึงรั้งไว้ด้วยเชือกไนลอนสีขาวที่ร้อยลงมาจากราวบันได ลิ้นจุกปาก ตาถลน ในมือของเธอกำกระดาษแผ่นหนึ่งเอาไว้แน่น ผมเอื้อมมือหยิบกระดาษแผ่นนั้นจากมือของพี่ คลี่มันออก แล้วอ่านข้อความในนั้นให้แม่ฟังทั้งน้ำตา

ถึงพ่อและแม่ที่รัก
หนูขอโทษที่ต้องทำแบบนี้ ขอโทษในทุกๆสิ่งทุกๆอย่างที่ทำให้พ่อและแม่ผิดหวัง หนูขอโทษที่ไม่เคยทำให้พ่อแม่ภูมิใจในตัวหนูได้เลยสักครั้ง หนูเป็นคนที่ไม่ควรเกิดมาเป็นลูกของพ่อและแม่จริงๆ หนูรู้ว่าพ่อกับแม่คงอับอายมากที่มีลูกไม่เอาไหนอย่างหนู แต่จากวันนี้ไปพ่อกับแม่คงไม่ต้องมากังวลกับเรื่องของหนูอีกแล้ว หนูจะไปจากที่นี่ ไปจากโลกที่ไม่มีใครต้องการ หนูตัดสินใจและทบทวนมาดีแล้ว และนี่คือทางออกเดียวที่หนูคิดได้ หนูรักพ่อกับแม่นะคะ ลาก่อน

ขวัญตา

แม่ล้มพับลงกองกับพื้นหลังสิ้นประโยคสุดท้ายในกระดาษ น้ำตาหยาดไหลเป็นสายลงอาบแก้มทั้งสองข้าง ผมหันหลังให้ร่างของพี่สาวที่ลอยอยู่เหนือหัว สบตาคู่วาวแล้วโผเข้ากอดแม่ ปล่อยให้น้ำตาหลั่งรินออกมาอย่างที่ใจปรารถนา เพียงให้มันช่วยเยียวยาความรู้สึกที่มีอยู่ภายใน แม่เองก็อย่างเดียวกัน ไม่นานเสียงครางของรถยนต์ก็ดังขึ้นจากหน้าบ้านก่อนจะดับสนิทลง มีใครบางคนกำลังมา ผมเงยหน้าอาบน้ำตาขึ้นตามเสียงนั่น... แล้วชายผู้มาใหม่ก็ร้องไห้ตามเรา






#feedDD #MASS

 

 


ติดตามเรื่องราวดีๆ อัพเดท สื่อเป็นโรงเรียนของสังคม ที่แฟนเพจ สื่อเป็นโรงเรียนของสังคม ที่นี่

 


โครงการสื่อเป็นโรงเรียนของสังคม (Media As Social School)

128/177 ชั้น 16 อาคารพญาไทพลาซ่า ถนนพญาไท แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร 10400
128/177 Phayatai Plaza,  16th Fl., Phayathai Rd., Rajthevee, Bangkok 10400 Thailand

โทรศัพท์ : 02-298-0987-8 โทรสาร : 02-298-0989
อีเมล : [email protected]