"จนกว่าเด็กชายจะมีโชค" อีกหนึ่งบทความในประเด็น "ความรุนแรง"
จากกิตติศักดิ์ อุ๋ยสกุล ที่อยากให้ทุกคนได้อ่านและคิดตามไปด้วยกัน
เช้านี้เป็นอีกวันที่มีเสียงแหลม ๆ แสดงความกราดเกรี้ยวของครูสุดใจจากห้องเรียน ป.๓/๓ ภายใต้ความตึงเครียดของห้องเรียน เป็นวัฏจักรที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าเกือบทุกเช้า เสียงของครูสุดใจที่ดุเด็กชายมีโชคครั้งแรก ๆ เป็นเพียงการว่ากล่าวตักเตือน แต่ครั้งหลัง ๆ มานี้น้ำเสียงของครูสุดใจแสดงออกถึงความเอือมระอาไปจนถึงขั้นโมโหเต็มที
“กลับไปนั่งที่ได้แล้ว แล้วตั้งใจเรียน ตั้งใจฟังที่ครูสอนด้วยล่ะ และถ้าเกิดพรุ่งนี้มีครูท่านไหนมาบอกครูว่าเธอไม่ยอมทำการบ้านอีก คราวนี้ครูจะโทรไปบอกผู้ปกครองเธอ” ประโยคทิ้งท้ายของครูสุดใจทำให้รู้ว่าวัฏจักรของวันนี้สิ้นสุดแล้ว
ในขณะที่เพื่อนคนอื่น ๆ ในห้องนั่งเรียนกันเป็นคู่ ๆ ตามความสนิทสนม แต่เด็กชายมีโชคเลือกที่จะนั่งโต๊ะเดี่ยว แม้ว่าครูจะอนุโลมให้นั่งเรียงกันสามคนได้ก็ตาม ไม่มีใครรู้ว่าทำไมเขาจึงปลีกตัวออกจากกลุ่มเพื่อน ไม่มีใครเข้าใจความคิดของเขาเลย
“กรี๊ง.......” เสียงกริ่งพักกลางวันดังสนั่น ฝีเท้าเล็ก ๆ ของเด็กที่สวมเครื่องแบบนักเรียนกางเกงสีกากีย่ำถี่ ๆ ไล่เรียงไปจนถึงโรงอาหาร ความสงบคืนสู่อาคารเรียนอีกครั้ง เว้นเสียแต่ห้อง ป.๓/๓ ที่จะมีเสียงจุ๊บจั๊บเล็ก ๆ ดังอยู่ที่โต๊ะตัวสุดท้ายของแถวริมหน้าต่างในห้อง นั่นคือเสียงของเด็กชายมีโชคกับกล่องข้าวพลาสติกอันเก่าของเขา ที่บรรจุข้าวสวยโปะหน้าด้วยไข่ดาว เคยมีบางวันดีหน่อยก็เป็นไข่เจียวเปลี่ยนสลับอยู่เช่นนี้เรื่อยไป
“กริ๊ง กรี๊ง........” เสียงกริ่งสองครั้งติดกันเป็นสัญญาณที่เสียดแทงความรู้สึกของเด็ก ๆ เหลือเกิน แต่บ่ายนี้มีความสนุกรอเด็ก ๆห้อง ๓/๓ อยู่ เพราะพวกเขามีเรียนวิชาพละ ซึ่งเป็นวิชาที่เด็ก ๆ ชื่นชอบเป็นอันดับต้น ๆ
“แง........” เสียงร้องไห้งอแงแหบ ๆ ของเด็กชายมีโชคเริ่มดังขึ้นมาแข่งสู้เสียงของครูพละ และทำลายโสตประสาทของเพื่อน ๆ อีกแล้ว แต่นี่คือความปกติธรรมดา เสียงร้องของเขากลายเป็นเสียงประกอบการเรียนวิชาพละไปเสียแล้ว
ครั้งหนึ่งในวิชาพละของห้องเรียน ป.3/3
“เธอ วิ่งไปเรียกครูประจำชั้นของพวกเธอมาที่นี่หน่อยไป” ครูพละสั่งหัวหน้าห้องให้วิ่งไปเรียกครูประจำชั้นเพื่อมาจัดการกับเด็กชายมีโชคไม่นานนัก เสียงตวาดของครูสุดใจก็ดังขึ้นกลางสนามหน้าเสาธง
“ทำไมเธอถึงเหลวไหลขนาดนี้นะมีโชค มีวันไหนสักวันไหมที่ครูไม่ต้องมาเหนื่อยกับเธอเธอเป็นอะไร เอาแต่ร้องไห้ ถามอะไรเธอก็ไม่ตอบ แล้วอย่างนี้ครูจะรู้ไหมว่าเธออยากได้อะไรหรือเธอเป็นอะไร”
“แง....” เด็กชายมีโชคยังคงร้องไห้งอแง ไม่ยอมปริปากพูดคำใด แม้ว่าครูสุดใจจะพยายามย้ำถามอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ตาม
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เด็กชายมีโชคก็เอาแต่ร้องไห้ น้ำตาที่ไหลอาบแก้ม สองหมัดกำแน่นจนเส้นเลือดที่ข้อมือปูดโปนเขาเหมือนจะพยายามระบายอะไรบางอย่างออกมา แต่ไม่มีใครเข้าใจได้เพราะไม่เคยมีคำพูดใดออกจากปากของเขาเลย มิหนำซ้ำเพื่อนหลายคนยังเลือกที่จะหัวเราะเยาะและดูถูกเขา
“ไอ้เด็กขี้ร้อง” “ไอ้ขี้แง” “เด็กปัญญาอ่อน” เด็กชายมีโชคได้แต่แผดเสียงตะคอกใส่เพื่อน ๆ ใจร้ายเหล่านั้นเป็นระยะ ๆ แม้ว่ายิ่งเขาแสดงความโกรธจะยิ่งทำให้เพื่อนเหล่านั้นได้ใจล้อเขามากขึ้นก็ตาม
“กรี๊งกรี๊งกรี๊ง..” เสียงกริ่งดังสามครั้งติด เสียงเฮของเด็กทุกคนก็ดังตามมา เว้นเสียแต่เด็กชายมีโชค
ประตูโรงเรียนครึกครื้นด้วยเสียงเจื้อยแจ้วของเด็ก ๆ เด็กชายมีโชคได้แต่มองผ่านดวงตาเศร้าหมองคู่นั้น เขามองดูรถรับส่งนักเรียนที่แล่นออกไปทีละคัน ๆ ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจที่เด็ก ๆ คนอื่นมีพ่อแม่มารับถึงประตูโรงเรียน แล้วเหตุใดเขาจึงไม่เห็นแม้แต่เงาของพ่อกับแม่ตัวเอง
เสียงเพลงชาติแว่วดังมา ถึงเวลาที่เด็กชายมีโชคต้องกลับเสียทีเขาเดินทอดน่องอย่างเหนื่อยอ่อนด้วยขาที่มีแต่แผลช้ำลายพร้อย เขาถอนหายใจตลอดระยะทางหนึ่งกิโลเมตร เพราะทันทีที่เขาได้ยินเสียงเพลงกระหึ่มมาแตะหู ความเศร้าหมองก็พลันครอบงำเขาอีกครั้ง เชารู้แก่ใจดีว่าจะต้องเจอกับอะไรข้างหน้า
“ไอ้มีโชคมึงรีบเอากระเป๋าไปไว้ แล้วไปซื้อเหล้าให้กูเลยไป” พ่อของเขาตะโกนสั่งมาตั้งแต่เท้าของเขายังไม่เหยียบถึงพื้นบ้าน
“ตังค์” เด็กชายมีโชคแบมือยื่นออกไป
“เอ้า! ไอ้นี่ มึงทำอยู่ทุกวัน ยังจะถามกูอีกเพื่ออะไรว่ะ! หรือจะต้องให้กูเตือนความจำให้มึง” เด็กชายมีโชคลุกลี้ลุกลนรีบวิ่งไปยังบ้านข้าง ๆ และกลับเข้าบ้านอีกครั้งพร้อมขวดเหล้าในมือ ไม่ทันที่เขาจะได้พักหายใจ ผู้หญิงที่เขาเรียกว่าแม่ก็เดินออกมาจากบ้านด้วยท่าทางโมโห ก่อนที่จะดึงหูเขาเข้าไปในบ้าน
“ไอ้มีโชคมึงจะเอายังไงกับกูหา ขอเพิ่มอะไรนักหนา ขอได้ทุกวี่ทุกวัน ไพ่กูไม่ขึ้นมือเพราะตัวมารอย่างมึงมาอู้อี้อยู่ข้างหูกูนี่แหละ” แม่ตวาดเสียงใส่เขา พร้อมใช้ฝ่ามือฟาดลงหนัก ๆ ตามเนื้อตามตัวของเขา เขาประนมมือที่สั่นเครือพร้อมกล่าวขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“มึงก็ดีแต่ขอโทษทุกทีไอ้มีโชคกูไม่เห็นมึงจะสำนึกตรงไหน” แม่ของเขายังตวาดต่อ พร้อมคว้าไม้แขวนเสื้อฟาดลงที่หลังของเขาหนึ่งครั้ง
“บอกกูมา มึงเอาตังค์ไปทำอะไรนักหนา” แม่คาดคั้นให้เขาตอบ ในขณะที่เขาได้แต่ส่งเสียงร้องไห้สลับกับยกมือไหว้ขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่แม่ก็ยังคงหวดไม้แขวนเสื้อลงบนตัวของเขาไม่ยั้ง ก่อนที่พ่อจะเดินมาผลักเขากระเด็นไปชนฝา และคว้าไม้แขวนเสื้อในมือภรรยาโยนทิ้ง “กูนี่แหละใช้ให้มันไปเอาตังค์มึงมาซื้อเหล้า ทำไม มึงมีปัญหาเหรอวะ” สามีตะเพิดเสียงขู่ใส่ภรรยา
“เออ มีปัญหา กูยิ่งเสีย ๆ ไพ่อยู่ มึงยังมาลักตังค์กูไปกินเหล้าอีก” ฝ่ายภรรยาโต้กลับ
“มึงมันซวยเอง อย่ามาโทษกู ค่าเหล้ากูไม่มากเท่ากับที่มึงเสียไพ่หรอก เวลากูได้ตังค์มามึงก็ลักตังค์กูไปเล่นไพ่ มึงอย่านึกว่ากูไม่รู้” แล้วคู่สามีภรรยาก็มีปากเสียงกันหนักขึ้น ๆ ทั้งคู่ตะคอกใส่กันสู้เสียงของเพลงที่เปิดลั่นบ้าน ทิ้งให้เด็กชายมีโชคนั่งคุดคู้กอดเข่าร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ชิดมุมบ้าน เขาตัวสั่นระริกส่งเสียงร้องเคล้าเสียงทะเลาะกันของพ่อแม่ เหตุการณ์นี้เป็นละครบทเก่าที่ฉายซ้ำทุกค่ำคืน
เช้านี้ที่ห้อง ป.3/3 วัฏจักรเดิมเริ่มต้นขึ้นด้วยเสียงตวาดของครูสุดใจ และเรื่องเดิม ๆ ของเด็กชายมีโชค แต่วันนี้พิเศษกว่าทุกวัน
“เอาเบอร์พ่อเบอร์แม่ของเธอมามีโชค ครูบอกเธอแล้วใช่ไหมว่าถ้ายังเป็นเหมือนเดิมอีก ครูจะบอกพ่อบอกแม่เธอ” ครูสุดใจพูดด้วยน้ำเสียงโมโห
“ผม..ผม..ผม..ไม่..รู้” เด็กชายมีโชคตอบด้วยเสียงสั่นเครือ
“เธอจะไม่รู้ได้ไง ในเมื่อเป็นเบอร์พ่อเบอร์แม่ของเธอเอง” ครูสุดใจยังคงคาดคั้นเด็กชายมีโชค
“ก็ผมไม่รู้ ผมไม่รู้ ผมไม่รู้” เด็กชายมีโชคตอบครูด้วยเสียงที่เริ่มกร้าวขึ้นเรื่อย ๆ
“ไม่รู้แหละ ยังไงวันนี้เธอต้องหาเบอร์ผู้ปกครองมาให้ครูให้ได้ ไม่อย่างนั้น ครูจะไปถึงบ้านของเธอ” ครูสุดใจสั่งเด็กชายมีโชคทิ้งไว้ก่อนจะเดินออกจากห้องไปด้วยความโกรธ
“แง………” เสียงร้องของเด็กชายมีโชคเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ ช่างเป็นเสียงที่น่ารำคาญสำหรับเพื่อน ๆ ในห้องเสียเหลือเกิน
“โอ๊ย! พอได้แล้ว รำคาญ ไอ้เด็กขี้แง” “เด็กขี้แง” “เด็กขี้แง”
“เด็กขี้แง” เพื่อน ๆ ในห้องต่างส่งเสียงโวยวาย บ้างล้อเลียนความเป็นเด็กขี้แงของเขาเขาน้ำตาอาบแก้ม กำมือแน่น ตัวสั่น เริ่มหายใจถี่และแรงขึ้นทุกที ๆ
“บอกให้หยุดร้องไง ไอ้ขี้แง” ทันทีที่เพื่อนคนหนึ่งตะคอกเสียงมาจากด้านหลังของเขาเขาก็หันหลังขวับพร้อมซัดกำปั้นไปที่หน้าของเด็กผู้หญิงคนนั้นอย่างเต็มแรงทันที ในขณะที่เพื่อนคนอื่น ๆ ต่างกรูกันเข้ามาพร้อมผลักเขาและต่อว่าเขาต่าง ๆ นานา “เด็กเกเร” “ไอ้อันธพาล” “เด็กไม่ดี” “มึงต่อยผู้หญิง” “ไอ้ตุ๊ด”
เด็กชายมีโชคทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เขาคว้าแปรงลบกระดานบนโต๊ะครู และหยิบปากกาหัวแหลมด้วยมืออีกข้าง เหวี่ยงมือทั้งคู่อย่างบ้าคลั่งและไร้ทิศทาง ฝากรอยแผลให้กับเพื่อนรอบตัวเขา เลือดออกมากบ้างน้อยบ้าง แล้วแต่จังหวะและเเรงเหวี่ยงจากมือเขา
เสียงความวุ่นวายที่ดังไปถึงห้องพักครู เรียกให้ครูทุกคนแห่กันมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
ครูสุดใจรีบวิ่งฝ่าวงตะลุมบอนเข้าไปกระชากตัวเด็กชายมีโชคออกมาด้วยความโมโห ครูสุดใจลากมือของเขาเดินไปยังรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ด้านล่าง จากนั้นจึงให้เขาขึ้นซ้อนท้ายและขี่ตรงไปยังบ้านของเขา
รถมอเตอร์ไซค์ของครูสุดใจหยุดลงที่หน้าบ้านของเด็กชายมีโชค เขาเดินเข้าบ้านด้วยท่าทางหวาดหวั่นก่อนจะเคาะประตูบ้านและส่งเสียงที่สั่นเครือเรียก “พ่อ ครูมา พ่อ ครูมา”
“กริ๊ก” เสียงกลอนประตูดัง เด็กชายมีโชคพลันถอยห่างออกมาจากประตูโดยอัตโนมัติ ก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะเดินออกมาด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด “ไอ้มีโชคมึงกลับมาบ้านทำไม ทำไมไม่เรียนหนังสือ” พ่อกระชากคอเสื้อนักเรียนที่ยับยู่ยี่ของเขาเข้าหาตัวและจ้องหน้าเขาตาขวาง
“ครูพามาเองแหละค่ะคุณพ่อ” ครูสุดใจรีบเอ่ยตัดบท ก่อนที่พ่อจะปล่อยลูก ยิ้มอ่อน ๆ คลุ้งไปด้วยกลิ่นเหล้า แล้วจึงเชิญครูสุดใจมานั่งคุยที่โต๊ะม้าหิน ซึ่งเป็นโต๊ะดื่มเหล้าประจำวันของพ่อ
ครูสุดใจบอกเล่ากิตติศัพท์ของเด็กชายมีโชคให้พ่อของเขาฟัง ตั้งแต่ไม่ทำการบ้าน ไม่สนใจเรียน เข้ากับเพื่อนไม่ได้ ร้องไห้และไม่ตอบคำถามของครู และที่รุนแรงที่สุดคือวันนี้ได้ทำร้ายเพื่อนร่วมห้องด้วย
“ยังไงก็ฝากคุณพ่อช่วยจัดการกับมีโชคด้วยนะคะ อย่าให้เขาทำตัวเป็นอันธพาลอย่างนี้อีก รวมทั้งให้เขาปรับปรุงตัวให้มีความรับผิดชอบให้มากขึ้นด้วยนะคะ เวลาเรียนเขาก็ไม่ตั้งใจเรียนทำให้เพื่อนคนอื่นเรียนช้าไปด้วย คุณพ่อรู้ไหมคะว่าครูนี่เหนื่อยใจกับเขามากแค่ไหน” น้ำเสียงเบื่อหน่ายแสดงออกพร้อมกับสีหน้าบึ้งตึงของครูสุดใจ
“แต่ยังไงวันนี้คงต้องให้มีโชคได้สงบสติอารมณ์ที่บ้านก่อนนะคะ ส่วนเพื่อนในห้องที่บาดเจ็บ เดี๋ยวครูช่วยจัดการให้แล้วกันค่ะ อีกอย่าง คุณพ่อคะ ยังไงก็อย่าเพิ่งทุบตีเด็กนะคะ ให้เขาได้ทบทวนตัวเองดูก่อน การทุบตีไม่ใช่การลงโทษที่ดีที่สุดหรอกนะคะ” ครูสุดใจกล่าวทิ้งท้ายก่อนที่จะลากลับ
ทันทีที่เสียงมอเตอร์ไซค์ของครูสุดใจเริ่มเบาลงจนหายเงียบไป พ่อของเด็กชายมีโชคก็ปัดกองขวดเหล้าบนโต๊ะอย่างแรง ขวดเล็กขวดน้อยกระเด็นไปตกแตกกระจัดกระจายเกลื่อนพื้น
“มึงจะเอายังไง บอกกูมา” พ่อตะคอกใส่เขา เสียงทุ้มใหญ่และดังของพ่อทำให้เขาพลันสะดุ้งเฮือก และตอบกลับพ่อด้วยความนอบน้อมในน้ำเสียงที่สั่นเครือด้วยความหวาดกลัว “ผม..ไม่..รู้”
เด็กชายมีโชคที่นั่งหายใจหอบ สั่นระริกทั้งร่างด้วยความหวาดกลัว ไม่ทันได้ตั้งตัว พ่อของเขาก็ลุกขึ้นกระชากแขนเขาออกมาจากโต๊ะ ทำให้เท้าของเขาย่ำลงหนัก ๆ ลงที่เศษขวดเหล้าบนพื้น เขาร้องไห้ลั่นด้วยความเจ็บปวดและหวาดกลัว แต่ด้วยความโมโห พ่อจึงยังกระชากแขนเขาต่อไม่หยุดและเหวี่ยงเขาเข้าไปในบ้านอย่างไม่ปรานี
ร่างของเด็กชายมีโชคกลิ้งหลายตลบเข้าไปในบ้าน พอแขนของเขามีโอกาสค้ำพื้นได้ เขาก็รีบกระเสือกกระสนขยับร่างของตัวเองหนีออกนอกบ้านทันที ฝ่ายพ่อก็คว้าไม้เรียวตามมาหวดลงบนร่างของเขาไม่ยั้ง มิหนำซ้ำยังใช้เท้าเตะเข้าที่ตัวของเขาเป็นระยะ ๆ ด้วย เขาร้องไห้ลั่นสลับเสียงจุกจากแรงเตะของพ่อ มือสองข้างของเขาประกบกันแน่นเป็นท่าประนม เพื่อขอความเมตตากรุณาและหวังว่าพ่อจะให้อภัย
ก่อนที่แรงเตะครั้งสุดท้ายและเสียงร้องของเด็กชายมีโชคเบาลงกลายเป็นเสียงหอบห่าง ๆ แทนเด็กชายมีโชคพยายามพยุงร่างที่แบกความเจ็บปวดระบมลุกขึ้น เปลี่ยนจากท่านอนตะแคงคุดคู้เป็นท่าคลาน ทำให้เท้าของพ่อฟาดเข้าที่หน้าอกของเขาเต็มแรง แรงเตะนั้นเหวี่ยงร่างของเขาให้พลิกไปคว่ำลงอย่างหนักบนกองเศษแก้ว
“กร็อบ” เสียงเศษแก้วแตกดังจากใต้ร่างของเด็กชายมีโชค เสียงร้องไห้ของเขาก็เปลี่ยนเป็นเสียงกรีดร้องแผดลั่นยาว ๆ หนึ่งครั้ง แล้วจึงสงบลง เหลือเพียงเสียงแหบ ๆ ที่พยายามตะเบ็งออกมาสู้เสียงหอบเป็นระยะ ๆ
นรกของเด็กชายมีโชคยังไม่จบเท่านี้“โหยหวนเป็นตัวเมียเลยนะมึง ลุกขึ้นมา กูบอกให้มึงลุกขึ้นมา” แรงโมโหของพ่อไม่ลดละเลยแม้แต่น้อย
“ไอ้ซาดิสต์มึงทำกับลูกขนาดนี้ ยังเห็นมันเป็นลูกอยู่ไหมวะ” แม่ของมีโชคที่วิ่งมาเพราะเสียงร้องลั่นของลูก ผลักสามีออกก่อนที่จะเข้าไปพยายามอุ้มลูก แต่เมื่อถูกเศษแก้วบาดเพียงน้อย เธอก็สะดุ้งเฮือกแขนอ่อนเสียแล้ว
“ลูกกูมันต้องเป็นเด็กดี แต่มึงมันไม่ใช่ กูอยากรู้จริง ๆ ว่าเลือดมึงจะสีอะไร” พ่อที่โมโหหนักไม่ลดละ คว้าหมับที่แขนเด็กชายมีโชค แล้วเหวี่ยงร่างของเขาให้พลิกหงาย
เสียงแม่กรี๊ดลั่น “มีโชคมีโชค” แม่ส่งเสียงเรียกลูกประกอบเสียงสะอื้นสั่นด้วยความสงสารลูก พร้อมกันกับฝ่ายพ่อที่ผงะตาค้าง หน้าเสีย แล้วสายตาฉุนเฉียวของพ่อก็เปลี่ยนเป็นสายตากังวลแทน เมื่อเห็นเลือดที่กลบปากของลูก กับแผลบาดฉีกขาดอิ่มเลือดทั่วร่างของลูก และจุดสำคัญที่ทำให้ทั้งพ่อและแม่แทบเสียสติ คือเศษขวดที่ปักอยู่ที่แถว ๆ คอหอยของลูก
ภาพที่เห็นกลั่นน้ำตาของผู้เป็นพ่อให้เอ่อท่วม ก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะตัดสินใจสอดแขนใต้ร่างอาบเลือดของลูกยอมให้เศษแก้วเฉือนบาดแขนของตน ประคองร่างของลูกขึ้นด้านหลังของรถตุ๊ก ๆ ที่ใช้หากิน ฝ่ายแม่วิ่งขึ้น ตามประคองลูก
ตุ๊ก ๆ หาค่าเหล้าพุ่งไปด้วยแรงเหยียบแทบมิดไมล์
“ไอ้มีโชค มึงอดทนหน่อยนะ มึงอย่าเป็นอะไรนะ” เสียงของแม่ทวนกระแสลมขึ้นมาแตะหูพ่อ ประสานกับเสียงใจของพ่อที่กำลังพยายามภาวนาในใจเช่นกัน พ่อพุ่งทะยานรถตุ๊กตุ๊กผ่านแสงทองของพระอาทิตย์ที่ใกล้ลับ เข้าเทียบประตูห้องฉุกเฉินในเวลาเพียง 5 นาที
ทว่า ไม่ทันที่พ่อจะได้ก้าวเท้าลงจากรถ ฝ่ายแม่ก็ร้องลั่นราวจะขาดใจ พร้อมกับเสียงหอบของลูกที่หายไป ท่ามกลางการทำงานอย่างกระฉับกระเฉงของเจ้าหน้าที่ห้องฉุกเฉิน บุรุษพยาบาลโอบอุ้มร่างที่บอบช้ำของเด็กชายมีโชคขึ้นเตียงเคลื่อนที่ สีแดงของเลือดประทับลงบนผ้าปูเตียงสีขาวตามโครงสร้างร่างกาย
ดวงตาของพ่อที่เอ่อท่วมด้วยน้ำตาซึ่งกลั่นมาจากความเจ็บปวดในการกระทำของตนเอง และดวงตาแดงก่ำน้ำตาอาบแก้มของแม่ซึ่งกลั่นมาจากหัวใจที่กำลังจะแตกสลายได้แต่มองดูมืออาบเลือดที่ไร้เรี่ยวแรงห้อยออกมาอยู่ริมเตียงก่อนดวงใจที่พวกเขาหลงลืมการดูแลเอาใจใส่จะหายเข้าไปในห้องกระจกปิดทึบ
พ่อและแม่ของเด็กชายมีโชคพร่ำภาวนาให้ลูกของเขายังอยู่กับเขาต่อไป..
ติดตามเรื่องราวดีๆ อัพเดท สื่อเป็นโรงเรียนของสังคม ที่แฟนเพจ สื่อเป็นโรงเรียนของสังคม ที่นี่
โครงการสื่อเป็นโรงเรียนของสังคม (Media As Social School)
128/177 ชั้น 16 อาคารพญาไทพลาซ่า ถนนพญาไท แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร 10400
128/177 Phayatai Plaza, 16th Fl., Phayathai Rd., Rajthevee, Bangkok 10400 Thailand
โทรศัพท์ : 02-298-0987-8 โทรสาร : 02-298-0989
อีเมล : [email protected]