"แกงจืดเต้าหู้หมูสับ" เมนูโปรดของใครหลายคน...
มาอ่านมุมมองอันน่าสนใจของอาหารจานนี้
จากชิดชนก ชูช่วย ในประเด็น "สุขภาวะในชุมชน" กัน...
เป็นอีกเช้าที่ฉันจำใจกินอาหารเช้าที่โรงเรียน และอาหารที่วางอยู่ตรงหน้าก็คือ แกงจืดเต้าหู้หมูสับ ฉันหมายความตามนั้นจริง ๆ มันคือแกงจืดที่มีเต้าหู้ไข่ 1 หลอด หั่นเป็น 4 ท่อน และหมูสับที่ลอยอยู่บนน้ำใส ๆ ไม่มีผักกาดขาว แครอต เห็ดหูหนู หรือแม้กระทั่งต้นหอมหรือผักชีสักท่อน ฉันนั่งมองอาหารเช้าของตัวเองและเงยหน้าขึ้นมามองคนอื่น ๆ มีสองคนซื้อแกงจืดร้านเดียวกับฉัน แต่ไม่มีใครมีปัญหา ไม่มีใครอารมณ์เสียกับเรื่องในแกงจืดไม่มีผักอย่างฉัน ทุกคนกินอาหารเช้าอย่างปกติ แม้ไม่ได้มีท่าที่ว่าอร่อยมาก แต่ก็ไม่ได้มีใครรู้สึกแย่แบบฉัน
แน่นอน ซื้อมาแล้วฉันก็ต้องกิน ไม่ใช่เพราะเหตุผลที่ว่าเสียดายเงิน แต่เพราะฉันกลัวจะไม่มีแรงสอนหนังสือต่างหาก ฉันนึกโกรธตัวเองที่เมื่อเช้าลืมเอาข้าวห่อที่อุตส่าห์เตรียมใส่กล่องไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ถ้าไม่ลืม เช้านี้ฉันก็จะได้มีข้าวกล่องสวย ข้างในมีข้าวไข่มดริ้น ซึ่งเป็นข้าวพื้นเมืองของจังหวัดนครศรีธรรมราชบ้านเกิดฉัน และปลาทู เคียงคู่ด้วยน้ำพริกกะปิที่ตำเอง ประดับประดาไปด้วยผัก และผลไม้หลากสีสำหรับล้างปาก นั่นจะทำให้ฉันมีแรงกายและแรงใจทำงานไปตลอดครึ่งวันเช้า
เสียงเพลงซึ่งเป็นสัญญาณเข้าแถวดังขึ้น ฉันเก็บจานที่มีข้าวเหลืออยู่มากกว่าครึ่ง กับน้ำแกงจืดที่มีรสเค็มเกินกว่าที่ฉันจะกินหมดไปวางในที่สำหรับเก็บจาน ระหว่างรอนักเรียนเดินมาเข้าแถว ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เข้าแอปพลิเคชั่นปฏิทินและตั้งเวลาเตือนสำหรับวันพรุ่งนี้ เวลา 7.00 น. เขียนไว้ว่า “ข้าวเช้า+เที่ยง” ในเมื่อตัวเองเตือนตัวเองไม่ได้ ฉันก็ต้องให้เทคโนโลยีช่วยเตือน และหลังจากนั้นชีวิตประจำวันของฉันก็ดำเนินไปตามปกติ เหมือนทุกๆวัน...
เสียงออดในคาบที่ 3 ดังขึ้น นั่นเป็นสัญญาณออดครั้งสุดท้ายของการเรียนการสอนในครึ่งวันเช้า ฉันรู้สึกดีใจที่ถึงเวลาของมื้อเที่ยงสักที ตอนเช้าฉันกินข้าวแค่ไม่กี่คำ จึงทำให้รู้สึกหิวมาตั้งแต่ 10 โมง แต่เมื่อคิดถึงกับข้าวที่โรงอาหารโรงเรียน ใจฉันก็หดหู่ขึ้นมาอีกครั้ง จนฉันเริ่มจะรู้สึกรำคาญตัวเองว่าจะเอาอะไรกันนักหนา กับอาหารในราคา 20 - 25 บาท แม่ค้าแต่ละร้านก็ต้องจัดการวัตถุดิบให้พอกับงบประมาณและจำนวนนักเรียน ฉันจะมาหวังอาหารที่สมบูรณ์แบบ ถูกหลักโภชนาการ และเต็มไปด้วยผักนานาชนิดในราคา 20 บาทนั้นเป็นไปไม่ได้ (หรือบางทีอาจจะเป็นไปได้)
ฉันเดินไปโรงอาหารกับเพื่อนครูคนอื่น ระหว่างทางก็มีนักเรียนวิ่งกรูกันเข้าไปที่โรงอาหาร นั่นเพราะแต่ละคนก็จะต้องไปจับจองที่นั่งให้เพียงพอกับจำนวนเพื่อนในกลุ่ม ถ้าเกิดว่าที่นั่งไม่พอขึ้นมา ฉันรับรองได้ว่านักเรียนกลุ่มนั้นจะต้องพากันหาที่นั่งใหม่ หรือไม่ก็รอจนกว่ากลุ่มข้าง ๆ จะกินข้าวเสร็จ ไม่มีนักเรียนมัธยมคนไหนอยากนั่งกินข้าวคนเดียว ฉันเชื่อแบบนั้น และก็รู้ว่ามันเป็นความจริง เพราะฉันก็เคยผ่านวัยมัธยมมาก่อน ถึงแม้ว่ามันจะหลายปีมาแล้วก็ตาม
ฉันเดินผ่านร้านค้าตั้งแต่ร้านที่ 1-12 และยังไม่เจอร้านไหนที่ถูกใจ จึงแอบเดินดูตามโต๊ะที่นักเรียนนั่งอยู่ เผื่อจะเห็นเมนูของนักเรียนคนไหนเป็นไอเดียให้มื้อเที่ยงของตัวเองบ้าง ฉันเป็นแบบนี้เสมอ ถ้าคิดไม่ออกว่ามื้อนี้จะกินอะไร ฉันจะแอบดูเมนูของคนอื่น ๆ แต่ถ้าอยู่ที่บ้านก็จะเปิดคอมพิวเตอร์ อ่านกระทู้ทำอาหาร อ่านไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเจอเมนูที่ถูกใจ จากนั้นก็ไปซื้อของมาทำตามบ้าง
ระหว่างที่ฉันเดินสำรวจอาหารของนักเรียนในแบบที่คิดว่าเนียนที่สุด เพื่อไม่ให้ไปรบกวนการกินมื้อเที่ยงของนักเรียน เพราะฉันรู้ดีว่านักเรียนคงอึดอัดน่าดู ถ้ารู้สึกว่ากำลังกินอาหารในขณะที่มีครูคนหนึ่งมองอยู่ ฉันเห็นหมูทอด, ไก่ทอด, ข้าวหน้าไข่, ก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟที่มีเส้นเยอะจนเต็มชามกับผักบุ้ง 4-5 ท่อน และหมูผัดกะหล่ำปลีที่ฉ่ำไปด้วยน้ำมัน
ทันใดนั้นก็มีสายตาหนึ่งจับได้ว่าฉันกำลังมองอยู่ นักเรียนห้อง ม.1/10 ที่ฉันเพิ่งสอนมาเมื่อคาบที่ 3 นั่นเอง เธอเป็นเด็กตัวอ้วน และฉันก็ดูออกว่าน้ำหนักของเธอคงจะเกินเกณฑ์มาตรฐานมาโขอยู่ แต่นั่นก็ไม่ได้บดบังความน่ารักของเธอได้เลย เธอส่งยิ้มมาให้ฉัน พร้อมทำท่าสวัสดี ทั้งที่มือยังจับช้อน และข้าวยังเต็มปาก ฉันรับไหว้ด้วยความเอ็นดู ปนอายนิดๆ ที่ถูกเธอจับได้ว่าฉันกำลังมอง เด็กคนนี้น่ารักเสมอ ทั้งในห้องเรียน และนอกห้องเรียน ฉันจึงจำเธอได้ดีกว่าใคร และอดห่วงไม่ได้ว่าถ้าหากน้ำหนักของเธอไม่ลดลง เมื่อโตขึ้นกว่านี้ สุขภาพของเธอคงแย่มิใช่น้อย
“เป็นไง ข้าวอร่อยไหมคะ” ฉันถามเธอแก้เก้อ
“อร่อยดีค่ะครู” เธอตอบแบบเขินๆ
เมนูที่เธอบอกว่าอร่อยคือ หมูทอดที่หั่นเป็นชิ้นบาง ๆ กับไก่ผัดซอสสีส้ม ฉันเคยลองเมนูนี้แล้ว พบว่ามันหวานเอาการเลยทีเดียว ท่ากินของเธอน่าเอ็นดูนัก และดูเธอก็เอร็ดอร่อยกับมันจริง ๆ แต่พนันได้เลยว่าในจานนั้นไม่ใช่เมนูที่ดีต่อน้ำหนักของเธอแม้แต่น้อย
ถึงเวลาที่ฉันต้องเลือกเมนูของตัวเองแล้ว เมนูที่ฉันเลือกคือไก่ผัดพริกแกงที่มีผักเป็นถั่วฝักยาวท่อนสั้น ๆ เพียงไม่กี่ท่อน กับต้มยำไก่ที่พอจะมีเห็ดนางฟ้าให้รู้สึกว่าเป็นผักอยู่บ้าง ระหว่างรอเงินทอนจากแม่ค้า ฉันถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตรที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ป้าขา ทำไมถึงไม่ค่อยมีเมนูที่มีผักเลยล่ะคะ”
“เมนูผัก เด็กไม่ค่อยกินค่ะครู ทำไปก็ขาดทุน เหลือทุกวัน” แม่ค้าตอบด้วยท่าทีที่เป็นมิตรเช่นกัน
แม่ค้าร้านนี้ใจดีเสมอ ทั้งให้เยอะ พูดดี และรับเงินด้วยรอยยิ้ม นี่จึงเป็นเหตุผลที่ฉันเลือกจะซื้อร้านนี้ แม้ว่าอาหารจะเหมือน ๆ กันกับร้านอื่น แต่อัธยาศัยของแม่ค้าเป็นเหมือนนางกวักให้ฉันเดินเข้าร้านนี้ และแล้วมื้อเที่ยงของฉันก็ผ่านไปอีกวัน…
เย็นวันนั้น ก่อนกลับบ้าน ฉันแวะตลาดข้างโรงเรียน ซื้อหมูสับ 2 ขีด, ผักกาดขาว 2 ต้นใหญ่, เห็ดหูหนู 1 ถุง, เต้าหู้ไข่ 3 หลอด, ต้นหอม ผักชี และขึ้นฉ่ายอย่างละกำ ผักที่นี่ถูกแสนถูก ฉันจึงหยิบมาอย่างไม่ยั้งมือ และจ่ายเงินไปทั้งหมด 98 บาท คำนวณแล้วว่าคุ้มกับแกงจืดหม้อใหญ่ ที่จะกินได้อีกหลายวัน ส่วนวัตถุดิบอย่างอื่นฉันมีอยู่ที่ห้องหมดแล้ว
กลับถึงห้องฉันไม่รอช้า ลงมือต้มน้ำในหม้อใหญ่ ระหว่างรอน้ำเดือด ฉันโขลกรากผักชี พริกไทย และกระเทียม หรือที่เรียกว่าสามสหายให้เข้ากัน เป็นวัตถุดิบสำคัญที่จะขาดไม่ได้เลยในแกงจืดหม้อนี้ เมื่อน้ำเดือดแล้วก็โยนสามสหายลงไป ตามด้วยหมูสับที่คลุกกับกระเทียมและพริกไทยตำละเอียด เหยาะซอสเห็ดหอมเล็กน้อยให้พอมีรสชาติ ปั้นเป็นก้อนหลวม ๆ แล้วโยนลงหม้อตามไป รอจนน้ำเดือดอีกครั้ง เติมเกลือเล็กน้อย ใส่เต้าหู้ ผักกาดขาว และแครอตหั่นเป็นรูปดอกไม้สวย ๆ ลงไป รอผักสลดแล้วใส่วุ้นเส้น ต้นหอม ผักชี และขึ้นฉ่ายลงไปเป็นอันเสร็จขั้นตอน เพียงแค่นี้ก็จะได้แกงจืดหม้อใหญ่ที่ทำง่ายยิ่งกว่าง่าย แถมเก็บไว้กินได้อีกหลายมื้อ
กลิ่นหอมและควันฉุยของมันทำให้ฉันน้ำลายสอ ฉันเปิดตู้เย็นเอาข้าวกล่องที่ถูกลืมไว้ในตู้เย็นออกมา เทใส่จานกระเบื้องและนำไปเข้าไมโครเวฟ 2 นาทีเพื่ออุ่นให้ร้อน ตักแกงจืดใส่ถ้วย จัดแจงปูผ้าปูโต๊ะลายสวย และถ่ายรูป 2 - 3 รูป มีรูปหนึ่งที่ซูมแกงจืดแบบเต็ม ๆ
ระหว่างนั่งกินมื้อเย็นฝีมือตัวเอง เคี้ยวผักกาดขาวกรอบ ๆ พร้อมทั้งเห็ดหูหนูกรุบ ๆ ฉันก็อัปโหลดรูปภาพแกงจืดที่จัดแสงสีไว้ในแบบที่คิดว่าสวยลงใน Facebook ไปด้วย เขียนคำบรรยายว่า “มื้อเย็นของวันนี้ ได้กินผักสีเขียวสักที และแน่นอนว่ามันจะกลายเป็นมื้อเช้าและมื้อเที่ยงของพรุ่งนี้ด้วย” ผ่านไป 2 นาที มีคนมากดไลค์เกือบ 10 คน ฉันรู้สึกดีใจทุกครั้งเวลาที่มีคนมากดไลค์รูปอาหารสีสันสดใสของฉัน มันเหมือนมีคนบอกเป็นนัย ๆ ว่าอยากกินอาหารที่ฉันทำ ทั้งที่ความจริงเขาอาจจะแค่ชอบจาน หรือลายผ้าปูโต๊ะในรูปเท่านั้น
พักหนึ่งก็มีคอมเมนต์เข้ามา ฉันกดเข้าไปดู เป็นคอมเมนต์จากนักเรียนม.1 ร่างตุ้ยนุ้ยคนนั้นเอง เธอคอมเมนต์มาว่า “น่ากินจังค่ะครู” ฉันไม่รู้ว่าปกติแล้วเธอชอบกินผักไหม หรือบางทีเธออาจจะชอบเมนูแกงจืดอยู่แล้วหรือเปล่า แต่ฉันก็กดหัวใจให้คอมเมนต์นั้น...
แม้แกงจืดถ้วยนี้จะไม่ช่วยให้แกงจืดที่โรงเรียนเปลี่ยนไป แต่ก็เป็นแกงจืดถ้วยที่ทำให้เด็กคนหนึ่งรู้สึกว่าเมนูผักน่ากินขึ้นมา
มันคือแกงจืดเต้าหู้หมูสับเหมือนกัน แต่มันไม่เหมือนกันหรอกฉันรับรองได้
ติดตามเรื่องราวดีๆ อัพเดท สื่อเป็นโรงเรียนของสังคม ที่แฟนเพจ สื่อเป็นโรงเรียนของสังคม ที่นี่
โครงการสื่อเป็นโรงเรียนของสังคม (Media As Social School)
128/177 ชั้น 16 อาคารพญาไทพลาซ่า ถนนพญาไท แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร 10400
128/177 Phayatai Plaza, 16th Fl., Phayathai Rd., Rajthevee, Bangkok 10400 Thailand
โทรศัพท์ : 02-298-0987-8 โทรสาร : 02-298-0989
อีเมล : [email protected]