คิดถึงบ้าน : โดยปณิธาน หินผา ทีมมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร

, 15 มิถุนายน 61 / อ่าน : 1,703

"คิดถึงบ้าน" เชื่อว่าใครก็เคยรู้สึกเช่นเดียวกับบทความนี้ 

มาอ่านผลงานสร้างสรรค์ในประเด็น "สุขภาวะในชุมชน" 

เรื่องโดย : ปณิธาน หินผา ทีมมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร 

จากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร 
.


.
เสียงมีดกระทบเขียงถี่ ๆ ปลุกให้ผมตื่นจากความฝันที่กำลังอิ่มเอิบ กลิ่นกระเทียมเจียวกระตุ้นให้ผมต้องย้ายตัวเองเข้าไปในห้องน้ำเพื่อชำระล้างความง่วงเหงา ขณะมีเสียงฉ่า ๆ ในกระทะผมก็รีบแต่งตัว พอออกมาจากห้องก็ได้กลิ่นข้าวหอมมะลิสุกใหม่ ๆ ผมรีบจัดโต๊ะ เตรียมพร้อมรับศึกใหญ่ในตอนเช้า กิจกรรมที่เร่งรีบท่ามกลางแสงแดดที่เริ่มทอประกาย ผมไม่ได้ตื่นสายหรอกนะ แต่แม่ของผมตื่นเช้าต่างหาก!

เมื่อกับข้าวพร้อมเสร็จสรรพวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ ข้าวสวยก็ถูกคดใส่จานเม็ดสวยพร้อมรับประทาน รอยยิ้มของคนปรุงปรากฏบนใบหน้าชัดเจน รอยยิ้มของคนรอรับประทานเด่นชัดยิ่งกว่า คงไม่มีกับข้าวมื้อไหนที่ผมทานแล้วไม่อร่อย นั่นเพราะกับข้าวทุกมื้อแม่ตั้งใจปรุงสุดฝีมือ

มื้อเช้าแสนอร่อยผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผมอยากให้เวลาหยุดไว้ที่ตรงนี้ ที่ที่ผมและครอบครัวได้อยู่กันพร้อมหน้า ทุกคนยิ้มและหัวเราะอย่างมีความสุข ผมเก็บทุกภาพความสุขไว้ในห้วงลึกของความทรงจำ และถูกดึงขึ้นมาใช้เมื่อความรู้สึกโหยหาเพิ่มทวีคูณ

ครอบครัวเรามีอยู่ด้วยกันทั้งหมด ๔ คน พ่อที่คอยดูแลเราอย่างดี แม่ที่เป็นแบบฉบับของกุลสตรี ผมที่เป็นความหวังของบ้าน และน้องสาวที่เป็นศูนย์รวมทุกความสนใจ พ่อผู้เป็นกำลังหลักของครอบครัวเพิ่งจากพวกเราไปไม่นาน ด้วยอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นระหว่างกลับบ้าน คนเมาขับรถยนต์ไถลขึ้นมาบนฟุตบาท ชนร้านค้ารถเข็นไปหลายร้าน พ่อจะยังไม่จากเราไป ถ้าหากวันนั้นพ่อไม่แวะซื้อไก่ทอดของโปรดของผม จากรถเข็นริมทาง

หลังจากวันนั้น แม่ผู้เป็นที่พึ่งสุดท้ายของพวกเราก็ต้องรับภาระเพิ่มมากขึ้น เงินเก็บที่เริ่มเหลือน้อยลงไปทุกวัน ค่าเล่าเรียนของผมและน้องสาวนับวันเพิ่มขึ้นสวนทางกับรายรับที่แทบไม่มีเข้ามา แม่ต้องจำใจรับงานมาทำที่บ้าน งานง่าย ๆ แค่งานเย็บผ้าที่แม่พอจะมีพื้นฐานอยู่บ้าง แต่ยากตรงต้องสละเวลาพักผ่อน เพื่อส่งให้ทันตามกำหนด ได้เงินตามต้องการ และสามารถดูแลพวกเราได้

ในช่วงปิดเทอมก่อนขึ้นมอหก ผมมีเวลาว่างพอที่จะทำงานพิเศษอยู่บ้าง ถ้าหากไม่นับเวลาที่ต้องอ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัย เวลาที่ช่วยแม่จัดการงานบ้านทุกอย่างให้เรียบร้อย และเวลาที่เคยเป็นส่วนตัวของครอบครัว ผมก็ใช้เวลานั้นรับจ้างหารายได้พอช่วยแบ่งเบาภาระแม่ นั่นคือ หน้าที่เด็กเสิร์ฟอาหารประจำร้านดังแถวบ้าน คงเป็นเพียงงานไม่กี่อย่างที่ผมพอจะทำได้

กริ๊ง!กริ๊ง!กริ๊ง!
เสียงนาฬิกาปลุกดังอยู่หัวเตียง มือของผมค่อย ๆ ควานหานาฬิกาเจ้าของเสียงที่แสนน่ารำคาญแล้วปิดมันอย่างไม่ไยดี นอนต่อสักหน่อยคงไม่เป็นไร ผมบอกตัวเองเป็นประจำ และทุกครั้งก็ลงเอยด้วยอาการรีบเร่ง แต่งตัวยังไม่เรียบร้อยดีก็ต้องรีบบึ่งจากห้อง ไปลงเรือหรือไม่ก็ต้องโหนรถเมล์ที่ค่อย ๆ คลายไปบนท้องถนนเพื่อให้ทันเข้าเรียนในคาบเช้า ถึงจะเกินเวลาเข้าเรียนนิดหน่อย แต่ผมก็คิดว่ามาช้าดีกว่าไม่มา ค่อยมานอนต่อในห้องก็ยังไม่สาย !

ชีวิตเด็กมัธยมอย่างผมหมดไปเมื่อปลายเดือนมีนาคม หลังจากสอบได้คณะเรียนที่ชอบ วิชาเอกที่เลือกแล้วเลือกอีกจนได้ตรงความต้องการของตนเอง มหาวิทยาลัยในเมืองใหญ่จึงไม่ไกลเกินคว้าสำหรับเด็กต่างจังหวัดอย่างผม ค่าเทอมที่แม่พอจะส่งไหว ไม่เหลือบ่ากว่าแรงนัก ผมจึงได้เดินตามความฝันที่คิดว่าเป็นสิ่งที่ดีแล้วสำหรับผม

ผมเลือกที่จะอยู่หอพักราคาถูก พอมีสิ่งให้อำนวยความสะดวกบ้าง ห้องพักใหม่ มหาวิทยาลัยใหญ่ เพื่อนใหม่ และความฝันอันยิ่งใหญ่ ที่ผมได้วาดหวังมานาน บัดนี้ได้กลายเป็นจริง สักวันสิ่งที่ผมเลือกจะต้องเป็นความสุขที่ผมจะสามารถมอบให้ทุกคน

ช่วงแรกที่ผมย้ายมาอยู่ที่หอพัก แม่จะโทรศัพท์หาทุกวันด้วยความเป็นห่วง ผมเข้าใจดีถึงความรู้สึกนั้น แต่ก็อย่างว่าตอนนี้ผมมีอิสระแล้ว กำลังจะเป็นผู้ใหญ่ ผมอยากจะทำอะไรก็ได้ เวลาในการคุยสายกับแม่น้อยลงไปทุกวัน จนท้ายที่สุดสายจากแม่ก็เงียบหายไปเป็นเดือน ก่อนที่ผมจะอดสงสัยไม่ได้จึงต้องกดโทรศัพท์โทรหา...

ปลายสายรับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ผมมั่นใจว่านั่นคือเสียงของแม่ไม่ผิดแน่ แต่ที่ทำให้ผมแปลกใจคือเสียงของแม่ไม่สดใสเหมือนแต่ก่อน ความชุ่มชื่นที่มอบให้แก่ผู้ฟังขาดหายไป เสียงที่แสดงถึงความเหนื่อยหน่ายได้เข้ามาแทนที่ ผมคุยกับแม่เพียงไม่กี่นาทีก่อนกดวางสาย

.......................................

ผมได้ทราบว่าแม่ขายที่ดินผืนสุดท้ายของแม่เอง ให้เป็นค่าเทอม ค่าหอพัก ค่าใช้จ่ายประจำเดือนของผมและเจียดส่วนหนึ่งไว้เป็นเงินเก็บของแม่ ผมเข้าใจดีว่าครอบครัวของเราไม่ได้ขาดแคลนอะไรนัก แต่ก็ไม่ถึงกับอยู่ดีมีสุขอย่างคนอื่น ภาระของครอบครัวที่แม่เป็นผู้รับผิดชอบเพียงคนเดียวคงหนักอึ้งเกินกว่าที่ผมจะเข้าใจได้ แม่คนเดียวคงจะพอไหวกับรายได้ที่มาจากการรับจ้างเย็บผ้า แต่สำหรับการเลี้ยงดูผมและน้องสาวอีกหนึ่งคน คงเป็นเรื่องหนักเอาการ เงินเก็บที่แม่อดออมไว้คงถูกนำออกมาใช้เป็นค่าเทอมผม เงินรายได้ส่วนหนึ่งถูกนำมาซื้อเครื่องแบบชุดใหม่ ให้ลูกชายได้ใส่อย่างภาคภูมิ

กับข้าวมื้อเช้า มื้อกลางวันและมื้อเย็น ที่วนเวียนอยู่ในร้านประจำเพียงไม่กี่อย่างที่ผมพอจะทำใจทานได้ ไม่ใช่เพียงราคาที่แพงเกิน แต่ด้วยรสชาติที่แปลกประหลาดของกับข้าวบางอย่าง ที่ทำให้ผมคิดถึงกับข้าวฝีมือแม่มากขึ้น ผมคงต้องกลับบ้าน

โดยปกติแล้วผมจะกลับบ้านเดือนละครั้ง ไม่ใช่เพราะบ้านอยู่ไกลหรอกนะ แต่เป็นเพราะความขี้เกียจของผมเองที่ต้องนั่งรถ ฝ่ารถติดในเมืองใหญ่หลายชั่วโมง คงจะดีไม่น้อยถ้าผมใช้เวลาหลายชั่วโมงบนรถนั้น นอนเล่นเกมที่ชอบ อ่านหนังสือที่ซื้อไว้แต่ไม่เคยเปิดอ่านสักที หรือทำการบ้านกองใหญ่ที่สะสมไว้ตั้งแต่ต้นเทอม จนกำหนดไว้ส่งใกล้เข้ามาทุกที

แต่เมื่อผมได้คุยกับแม่ครั้งล่าสุด ผมก็อดไม่ได้ที่ต้องก้าวข้ามความขี้เกียจไปก่อน เก็บของที่จำเป็นใส่กระเป๋าไปห้องเรียนด้วยตอนเช้า และสะพายความสงสัยนั่งรถกลับบ้านในตอนเย็นวันศุกร์ เบาะนุ่ม ๆ กับอากาศที่เย็นกำลังดีในรถประจำทาง ทำให้ผมมีสติคิดอะไรหลายเรื่อง ผมไม่แน่ใจว่าผมเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่ จากคนที่เคยกระตือรือร้นในทุกเรื่อง กลายเป็นคนที่เอื่อยเฉื่อยไปซะทุกอย่าง คนที่แต่ก่อนเข้าใจคนอื่นและให้ความสำคัญกับคนรอบข้างกลับเป็นเพียงการอยู่เพื่อตัวเอง ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าเป็นเพราะผมไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้เหรอ เป็นเพราะการศึกษาที่สอนให้ผมเป็นคนตามที่หลักสูตรต้องการ หรือเป็นเพราะสังคมที่คาดหวังให้ผมเป็นผลผลิตออกสู่ตลาดอย่างที่เป็นมา แต่คงไม่ใช่หรอกผมคงต้องให้ร้ายตัวเองก่อนว่าเป็นเพราะตัวผมเอง
เวลาสามชั่วโมงกับการเดินทางที่อืดอาดไปสักหน่อย แต่ก็ยังถึงเป้าหมายอย่างปลอดภัย รถจอดหน้าบ้านไม้สองชั้น ที่ถูกย้อมด้วยสีขาว รั้วบ้านที่มีไม้ไผ่ขัดกันไว้พอเป็นพิธีเพื่อแสดงอาณาเขต ผมก้าวลงจากรถด้วยความระมัดระวัง ก่อนที่รถจะเคลื่อนตัวออกไปสู่ถนนที่คดเคี้ยวรออยู่ข้างหน้า

แม่มานั่งรอผมอยู่ก่อนแล้ว พอผมเปิดประตูรั้วเข้ามา แม่จึงลุกขึ้นและยืนรอผม ผมเดินเข้าไปหาแม่ พร้อมกับยกมือไหว้สวัสดีอย่างที่เคยทำ แม่พลางยิ้มและรับไหว้ผม

“อ้น เป็นไงบ้างลูก เหนื่อยไหม ทานอะไรมาหรือยัง” แม่ถามผมด้วยคำถามเดิมทุกครั้งที่ผมกลับบ้าน

“เหนื่อยมากครับ แต่พอเห็นหน้าแม่แล้วความเหนื่อยก็หายไป แทนที่ด้วยความหิวและคิดถึงกับข้าวฝีมือแม่มากกว่าครับ” ผมตอบก่อนจะยิ้มกว้างเหมือนทุกครั้ง

“ถ้าอย่างนั้นเราเข้าไปในบ้านดีกว่านะ แม่จะได้ทำกับข้าวอร่อย ๆ ของโปรดให้ลูกทาน” ก่อนที่แม่จะจูงมือผมแล้วเดินเข้าบ้าน

ท่าทางการเดินของแม่แปลกไป ขาข้างขวาที่เหมือนจะรับน้ำหนักตัวไม่ได้เต็มที่ ทำให้แม่ต้องเดินกะเผลก ผมรับรู้ได้ถึงความลำบากอย่างมากที่จะก้าวเดิน ผ่านแรงกดจากมือแม่ส่งผ่านมาที่มือผม แต่ผมก็ยังไม่กล้าถามแม่

ระหว่างที่แม่กำลังยุ่งอยู่กับการทำกับข้าว ผมก็ขึ้นไปเปลี่ยนชุดบนห้องนอนของผม ก่อนจะรีบลงมาช่วยแม่ทำกับข้าว “อ้อย” น้องสาวของผมกลับมาจากติวหนังสือกับเพื่อนพอดี จึงมาช่วยแม่ทำกับข้าวอีกคนแล้วไล่ให้ผมไปจัดโต๊ะและนั่งรอดีกว่า อยู่ในครัวก็เกะกะแม่กับเธอเปล่า ๆ ผมเลยต้องเปลี่ยนหน้าที่เป็นพนักงานจัดโต๊ะชั่วคราว แจกันใส่ดอกไม้สีสดใสผมยังจำได้ว่าเป็นของพ่อที่ซื้อให้แม่ในวันครบรอบวันแต่งงาน มันยังคงใช้งานได้ดีอยู่แม้เจ้าของจะจากโลกนี้ไปแล้วก็ตาม

ไก่ทอดหนังกรอบรสจี๊ด ซี่โครงอ่อนผัดพริกไทยรสเข้ม ตัดกับแกงจืดเต้าหู้หมูสับโรยหน้าด้วยกระเทียมเจียว กลิ่นหอมยั่วน้ำลายเรียกให้แม่ ผมและน้องสาวพร้อมหน้ากันที่โต๊ะทานข้าว ก่อนแม่จะยกโถใส่ข้าวสวยเพื่อจะคดใส่จานให้ผมกับน้องสาว ผมจึงขอโถข้าวจากมือแม่ เพื่อเป็นคนตักให้แม่และน้องสาวแทน กับข้าวมื้อเย็นที่แสนอร่อย เสียงหัวเราะและรอยยิ้มที่คุ้นเคย หากเพิ่มของพ่อเข้าไปด้วยคงเป็นมื้อเย็นที่แสนวิเศษ

หลังจากมื้อเย็นผ่านไป ผมเป็นคนเก็บโต๊ะ ล้างถ้วยจานอย่างเคย ให้น้องสาวพยุงแม่ไปนั่งพัก พร้อมกับชมรายการเพลงที่แม่ชอบหลังมื้อเย็นไปพลาง ๆ น้องสาวผมเดินกลับเข้ามาในครัว ก่อนจะช่วยผมจัดการภาระตรงหน้าอย่างกะฉับกระฉับกระเฉง บทสนทนาของเราสองพี่น้องเป็นอย่างที่เคยเป็นมา...

“แม่หกล้มเมื่อสัปดาห์ก่อน ตอนนั้นอ้อยไปโรงเรียน กลับมาเห็นแม่กำลังนั่งนวดขาตัวเองอยู่” อ้อยตอบผม ให้สิ้นความสงสัยเกี่ยวกับท่าเดินของแม่

“แล้วเราได้แม่ไปหาหมอหรือเปล่า?” ผมถามต่อจากคำตอบของอ้อย

“โถ่พี่ พี่ก็รู้นิสัยของแม่เราดีว่าประหยัดแค่ไหน อ้อยพยายามพาแม่ไปหาหมอหลายครั้งแล้ว แต่แม่ก็ไม่ยอมไปสักที อ้อยจึงได้ซื้อยานวดกับยาแก้ปวดมาให้แม่” อ้อยตอบพลางล้างจานต่อไป

“ระยะหลังมานี้แม่รับงานมาทำเพิ่มขึ้น พักผ่อนน้อยลง อ้อยพยายามบอกแม่แล้วแม่ก็ยังไม่ฟัง อ้อยจึงได้แต่ช่วยงานแม่ให้เสร็จเร็วขึ้น”ผมพยักหน้ารับกับคำพูดของน้องสาว ก่อนจะจัดถ้วยจานกลับเข้าที่ตามเดิม

หลังจากพาแม่ไปที่ห้องนอนแล้ว ผมกับน้องสาวก็แยกย้ายเข้าห้องของตนเอง ห้องผมอยู่ชั้นสองของบ้าน ฝั่งเดียวกันกับถนนหน้าบ้าน หลังจากที่อาบน้ำเสร็จก็ได้ยกเก้าอี้ตัวโปรด มานั่งริมหน้าต่างบานใหญ่ ที่เปิดรับลมยามดึก ท้องฟ้าในตอนนี้สว่างด้วยแสงของดวงจันทร์ ดาวจำนวนนับไม่ถ้วนที่แย่งกันส่งแสงระยิบระยับเพื่ออวดความงาม ความเงียบสงบทำให้ผมนึกถึงบทสนทนาระหว่างผมกับน้องสาวหลังมื้อเย็น แม่คงลำบากมากหลังจากที่พ่อจากไป ผมรู้ว่าหนักหนาเพียงใด แต่ก็ไม่เคยเห็นแม่เอ่ยปากบ่นสักครั้ง

ถนนหน้าบ้านมีรถวิ่งผ่านเป็นระยะ ๆ ทิ้งระยะห่างเพิ่มมากขึ้นกับเวลาที่ดึกขึ้น แสงจากดวงจันทร์เผยให้เห็นโต๊ะไม้ใต้ต้นมะม่วงที่แม่นั่งคอยผมเมื่อตอนเย็น หวนให้ผมคิดถึงโต๊ะไม้ที่ผมกับพ่อช่วยกันทำขึ้น พ่อบอกว่าจะเป็นโต๊ะอีกตัวหนึ่งที่จะทำให้เราได้อยู่กันพร้อมหน้า กับต้นมะม่วงที่เป็นคนปลูกไว้หลังจากที่ผมกับอ้อยกินเนื้อมะม่วงหมดแล้ว แม่บอกมะม่วงต้นใหม่ที่จะเกิดนี้ จะเป็นผู้ให้ร่มเงาและเนื้อมะม่วงที่หอมหวานไปอีกนาน...

ตอนนี้คงดึกเกินกว่าที่ผมจะรำลึกความหลังแล้ว ร่างกายเตือนให้ผมเข้านอน ผมเปิดมุ้งที่แม่เป็นคนกางให้เมื่อตอนเย็น ผมเอนตัวลงนอน หลับตา ค่อยๆ หลับตา สติเริ่มหลุดลอยไป ลอยไปในที่ที่ผมตามหา...

เสียงสากกระทบกับครกดังปลุกผมแต่เช้า เป็นความรู้สึกที่คิดถึง ผมรีบลุกจากที่นอน ก่อนจะเก็บให้เรียบร้อย อาบน้ำ แต่งตัว รีบลงไปช่วยแม่ในครัว

กุ้งตัวใหญ่ ๆ ผัดกะปิ แกงส้มดอกแคที่แม่เป็นคนตำเครื่องแกงเอง ผัดผักรวมที่สีสันและกลิ่นชวนให้น้ำลายไหล เมื่อกับข้าวพร้อมให้ลิ้มรส ข้าวสวยหุงร้อน ๆ ก็พร้อมในจานของแต่ละคน กับข้าวมื้อนี้เป็นมื้อสุดท้าย สุดท้ายก่อนที่ผมจะนั่งรถกลับมหาวิทยาลัย เพื่อไปทำหน้าที่ของตนเอง

ในตอนสายหลังจากเก็บโต๊ะกับข้าวเรียบร้อย ผมได้มีโอกาสนั่งคุยกับแม่ บนสนทนาที่แสดงถึงความห่วงใยที่ผมมอบให้แม่ แม่มอบความห่วงใยให้ผมกลับคืนเช่นกัน คงเป็นช่วงเวลาที่ผมอยากให้คงไว้อีกนานๆ

รถประจำทางสายเก่า วิ่งผ่านหน้าบ้านผมไปหลายคัน ผมยังคงสับสนกับความรู้สึกของตนเองว่าผมยังจำเป็นอยู่ไหมที่ต้องกลับไปเรียน กลับไปสะสางการบ้าน กลับไปอยู่ในสังคมที่จะเปลี่ยนให้ผมกลายเป็นคนที่แม่ไม่อยากรู้จัก แต่นั่นเป็นทางที่ผมได้ตัดสินใจเลือกแล้ว คงต้องกลับไปทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ให้เหมือนกับคำสอนของพ่อให้รับผิดชอบหน้าที่ของตนเอง กระเป๋าที่ผมสะพายหลังมาด้วย พร้อมจะติดตามผมไปทุกเมื่อ ผมลุกขึ้น เดินไปหาแม่ ที่นั่งอยู่โต๊ะใต้ต้นมะม่วงหน้าบ้าน

“จะกลับแล้วเหรออ้น แม่กำลังจะไปถามพอดีเลยว่าจะกลับตอนไหน เดี๋ยวก็กลับไปถึงค่ำก่อนพอดี” แม่ถามก่อนที่ผมจะเดินไปถึง ผมนั่งลงข้าง ๆ แม่ ก่อนจะยิ้มและบอกกับแม่ไปว่า

“ยังครับแม่ ผมลืมไปเลยว่ามหาวิทยาลัยประกาศหยุดหนึ่งสัปดาห์ครับ ดีนะที่ผมนึกขึ้นได้ยังไม่ได้ขึ้นรถ” แม่ปรากฏรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้า พร้อมกับเสียงที่สดใสขึ้น

“จริงเหรอเนี่ยงั้นดีเลยอยู่กับแม่ก่อน อย่าเพิ่งกลับได้หรือเปล่า?” แม่ถามผมด้วยแววความหวัง

“ได้ครับ ผมกำลังจะมาบอกแม่แบบนั้นแหละ ผมยังอยากกินกับข้าวฝีมือแม่อีกหลาย ๆ มื้อก่อนค่อยกลับครับ” ผมบอกแม่พร้อมกับสังเกตแววแห่งความสุขที่ฉายบนใบหน้าของแม่

หลังจากสนทนากันต่อเล็กน้อย ผมเดินจูงมือแม่เดินเข้าไปในบ้าน ระหว่างทางเดิน ผมจึงบอกกับแม่ไปว่า “มื้อเย็นแม่คงอดแสดงฝีมือทำกับข้าวแล้วครับ เพราะผมจะเป็นพ่อครัวใหญ่ทำกับข้าวชุดพิเศษให้ทานเอง” ผมบอกก่อนจะยิ้มกว้าง

“จะทานได้ไหมเนี่ย แม่ต้องไปซื้อยาแก้ท้องเสียมาไว้เผื่อไหม” แม่บอกผมก่อนเผยเสียงหัวเราะออกมา ผมจึงหัวเราะตาม ก่อนค่อย ๆ เดินจูงมือแม่ไปบนเส้นทางที่แม่เคยเดินจูงมือผม…

 

"คิดถึงบ้าน" เรื่องโดย : ปณิธาน หินผา ทีมมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร

มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร

 

 

 


ติดตามเรื่องราวดีๆ อัพเดท สื่อเป็นโรงเรียนของสังคม ที่แฟนเพจ สื่อเป็นโรงเรียนของสังคม ที่นี่


โครงการสื่อเป็นโรงเรียนของสังคม (Media As Social School)

128/177 ชั้น 16 อาคารพญาไทพลาซ่า ถนนพญาไท แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร 10400
128/177 Phayatai Plaza,  16th Fl., Phayathai Rd., Rajthevee, Bangkok 10400 Thailand

โทรศัพท์ : 02-298-0987-8 โทรสาร : 02-298-0989
อีเมล : [email protected]