หากเราคอยดูแลธรรมชาติ วันหนึ่งธรรมชาติอาจพลิกออกดอกออกผลให้เรา
ได้รับทั้งอาหาร ที่อยู่อาศัย และผลผลิตได้
จาก จิรกฤต ยศประสิทธิ์ เรื่อง "ตำรวจบ้าแห่งปรางค์กู่"
กาลครั้งนั้น...ราวกับผ่านมาไม่นานนี้เอง
ณ ต้นตาลโตนดซึ่งกำลังแตกช่อออกหน่อผลสะพรั่งริมทางหลวงชนบทที่พลุกพล่านไปด้วยยวดยานพาหนะ มีกระรอกน้อยวัยคะนองสองตัวกำลังโต้เถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ถึงเรื่องที่ว่าใครเหมาะสมจะได้ครอบครองตาลโตนดต้นใหญ่ยักษ์เห็นชัดถนัดตาที่ยืนจังก้าท้าแดดลมอยู่ในขณะนี้ เจ้านกกระจาบอาวุโสซึ่งทำรังอยู่ที่ตาลโตนดต้นข้างเคียง เฝ้าสังเกตสถานการณ์อยู่สักพัก เห็นท่าว่าจะไม่ได้ข้อยุติ จึงได้ยื่นปีกเข้าไปเพื่อช่วยจบข้อพิพาทที่กำลังดำเนินไปอย่างร้อนระอุ
“พวกเจ้าทั้งสองทะเลาะกันด้วยเหตุอันใดรึ” นกกระจาบอาวุโสไต่ถามด้วยท่าทีสุภาพและเป็นมิตร
“ก็เจ้ากระรอกตัวนี้น่ะสิกำลังจะแย่งสมบัติของข้า ทั้ง ๆ ที่ข้าเป็นคนเจอก่อน” กระรอกตัวแรกว่าเสียงแข็ง
“ใครว่า ข้าต่างหากที่เจอก่อน ข้าวิ่งมาถึงที่นี่ก่อนเจ้าเสียด้วยซ้ำ” กระรอกตัวสองยันคอเป็นเอ็น
“แล้วพวกเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าตาลโตนดต้นนี้ ไม่มีเจ้าของ” นกกระจาบอาวุโสกล่าวถามก่อนยิ้มอย่างไว้เชิง เจ้ากระรอกน้อยทั้งสองตัวเมื่อได้ยินดังนั้นก็สะดุ้งโหยงสุดตัว เหลียวซ้ายแลขวาด้วยความประหวั่นพรั่นพรึงถึงภัยอันตรายที่อาจจะกล้ำกรายเข้ามาใกล้ตัว พวกมันไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้มาก่อนว่าตาลโตนดต้นนี้จะมีผู้ครอบครองอยู่ก่อนหรือไม่ พวกมันคิดแต่เพียงว่าศัตรูที่จะเข้ามาแย่งชิงสมบัติอันล้ำค่านี้ มีเพียงพวกมันทั้งคู่เท่านั้น
“เอ่อ...พอดีข้าไม่ทันได้สังเกตให้รอบคอบ ข้าเห็นมันตั้งตระหง่านอยู่เดียวดาย จึงคิดว่าไม่มีผู้ใดครอบครอง” กระรอกตัวแรกพูด
“ใช่ ข้าก็เห็นเช่นเดียวกันนั้น” กระรอกตัวสองกล่าวเสริมอย่างเข้าขา
“ว่าแต่ ท่านนกกระจาบพอจะรู้หรือไม่ว่าตาลโตนดต้นนี้เป็นของใครกัน” กระรอกทั้งสองประสานเสียง ขึ้นถามพร้อมกันราวกับเป็นสหายที่รู้ใจกันมานานนม จนนกกระจาบอาวุโสอดที่จะอมยิ้มไม่ได้
“รู้สิ...ข้ารู้ดีเทียวล่ะ” นกกระจาบอาวุโสกระแอมขึ้นเล็กน้อยก่อนพูดต่อ “ข้าก็อยู่ที่นี่มานาน...นานมากพอที่จะรู้ว่าตาลโตนดต้นใหญ่ยักษ์นี้เป็นของผู้ใด และนอกจากตาลโตนดต้นที่พวกเจ้ากำลังแย่งชิงกันอยู่ หากพวกเจ้าลองมองไปที่ตาลโตนดต้นอื่น ๆ รวมถึงไม้ยืนต้นที่หยั่งรากลึกอยู่บนแผ่นผืนดินบริเวณนี้ทั้งหมด ก็ล้วนมีเจ้าของคนเดียวกัน หากแต่เขาไม่เคยคิดจะครอบครองและไม่เคยแม้แต่จะออกปากว่าเขาคือเจ้าของแม้แต่ครั้งเดียว”
เจ้ากระรอกน้อยทั้งสองเมื่อได้ฟังต่างก็หัวร่องอหาย พวกมันแทบไม่เชื่อกับสิ่งที่ตนเองเพิ่งจะได้ยิน
“ใครกันช่างโง่เขลาเสียจริง อุตส่าห์สร้างสมบัติอันมีค่ามากมายถึงเพียงนี้ แต่ไม่คิดจะครอบครองเอาไว้เป็นของตนเอง...ไม่รู้ว่าเจ้านั่นบ้าหรือเซ่อกันแน่” กระรอกน้อยต่างพูดคุยกันถึงเรื่องชวนหัวนี้อย่างสนุกปาก
นกกระจาบอาวุโสยิ้มให้กับท่าทีที่เจ้ากระรอกน้อยแสดงออกมา นั่นก็เพราะแววตาของมันได้ฉายภาพสะท้อนถึงเงาแห่งความทรงจำที่ครั้งหนึ่งมันก็เคยแสดงท่าทีเช่นเดียวกันนี้เมื่อครั้งมันมาอยู่ที่นี่ใหม่ ๆ
นกกระจาบอาวุโสไม่ได้ต่อว่าหรือกล่าวสั่งสอนกระรอกน้อยทั้งสอง มันเพียงแต่บินลงมาใต้ต้นตาลโตนด แล้วแหงนมองขึ้นไปที่ก้านใบซึ่งคอยให้ร่มเงาแก่มันมาอย่างสำนึกคุณ ก่อนที่มันผายปีกขึ้นแล้วชี้ไปที่แคร่ไม้ไผ่ซึ่งอยู่ถัดออกไปไม่ไกลกันมาก ที่ตรงนั้นมีคุณลุงหน้าตาใจดีคนหนึ่งนั่งอยู่ โดยที่รอบตัวของเขามีเด็กน้อยหน้าตาน่ารักใคร่เอ็นดูหลายคนต่างมาห้อมล้อมและส่งยิ้มหวานอีกนัยน์ตาใสแจ๋วให้เขา แล้วนกกระจาบอาวุโสจึงเริ่มต้นเล่าถึง ความเป็นมาของสมบัติอันล้ำค่าที่เจ้ากระรอกน้อยทั้งสองหมายปอง อีกทั้งยังเป็นสมบัติที่ยังความสมบูรณ์พูนสุข เผื่อแผ่แก่ทุก ๆ สรรพชีวิตให้ได้พึ่งพิงอิงอาศัยจนถึงทุกวันนี้ ให้เจ้ากระรอกทั้งสองฟังกัน
เมื่อครั้งอดีตกาลนานมาแล้ว...บนแดนดินถิ่นนี้เคยที่ได้ชื่อว่ายากจนและแห้งแล้งที่สุด ไม่ว่าใครต่างก็เรียกขาน ที่แห่งนี้กันในชื่อ “ปรางค์กู่ ดินแดนต้องคำสาป”
เหตุที่ปรางค์กู่เป็นเสมือนดินแดนต้องคำสาป เพราะไม่ว่าจะมองไปหนทางใดก็พบแต่ความยากจนข้นแค้น และแผ่นดินที่แตกระแหงเพราะความแห้งแล้ง จะหาความเขียวชอุ่มของร่มไม้ใบหญ้าก็หาได้ยากยิ่ง แม่น้ำไหลผ่านนั้นก็อย่าหวังจะได้พบเลย มีก็แต่เพียงลำห้วยเล็ก ๆ ที่น้ำตื้นขอดเต็มที ผู้คนที่ทำสวนทำไร่ก็ไร้ซึ่งกำไรจากการขายผลผลิต สิ่งมีชีวิตทุกชนิดไม่ว่าคนหรือสัตว์ที่หลงเข้ามาอาศัยต่างก็อยู่กันอย่างทุกข์ทรมานเพราะความหิวโหยรอวันที่ชีวิตจะร่วงโรยไปอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ความอัตคัดแร้นแค้นไปเสียทุกอย่างนี้ยังครอบคลุมไปถึงหัวจิตหัวใจของผู้คนและสัตว์น้อยใหญ่ที่อาศัยอยู่ที่นี่ด้วย...เว้นเสียแต่ชายคนหนึ่ง เขามีรูปร่างหน้าตาที่แสนจะธรรมดา กินอยู่ด้วยของธรรมดา อยู่ในบ้านหลังเก่าซอมซ่อธรรมดา ประกอบอาชีพรับราชการธรรมดา เว้นเสียแต่ความคิดคำนึงของเขาที่ไม่ธรรมดา!
ไม่มีใครล่วงรู้ว่าพื้นเพของเขามาจากแห่งหนตำบลใด หรือเขาเข้ามาอยู่ที่ปรางค์กู่ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่มีใครรู้ได้ ทุกคนรู้เพียงแต่ว่าพฤติกรรมของเขาช่างแตกแยกและแตกต่างจากปกติวิสัยของคนในพื้นถิ่นนี้เสียจริง
เช่นในทุกวันเมื่อเขาว่างจากการปฏิบัติหน้าที่พิทักษ์สันติราษฎร์แล้ว เขาจะขับมอเตอร์ไซค์คู่ใจคันเก่า หอบเอาถุงปุ๋ยและแบกเอาจอบเล่มใหญ่พาดไว้บนบ่าออกไปตามพื้นที่ซึ่งไม่ใช่ที่ของตัวเอง ขอย้ำว่าไม่ใช่ที่ของตัวเอง ก่อนจะมองหาทำเลเหมาะ ๆ เพื่อที่เขาจะลงมือขุดหลุมดินลึกประมาณข้อศอกเห็นจะได้ ก่อนหย่อนเมล็ดพันธุ์พืชโดยเฉพาะเมล็ดตาล คูน และขี้เหล็ก ลงในหลุมดินนั้น และตั้งตารอคอยวันที่เมล็ดพันธุ์จะเติบโตเป็นไม้ใหญ่ต่อไป
ไม่มีใครในปรางค์กู่เข้าใจสิ่งที่เขาทำ รวมทั้งไม่มีใครอยากถามไถ่เขาด้วยว่าเขาทำไปเพื่ออะไร เพราะคนส่วนใหญ่คิดว่าไม่ใช่กงการที่ควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคนที่ดูเหมือนสติสตังจะไม่อยู่กับร่องกับรอยเช่นนี้ ดังนั้นทุกคนในพื้นถิ่นจึงลงมติเป็นเอกฉันท์อย่างพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมายที่จะขนานนามให้เขาว่า “ตำรวจบ้าแห่งปรางค์กู่”
แรกเริ่มเดิมทีชายคนนี้ก็ใช้ชีวิตเฉกเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ นั่นล่ะ
เขามีอาชีพเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ทำหน้าที่ดูแลความสงบสุขของประชาชนในปรางค์กู่ทุกคนด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ แต่สิ่งที่นำความเคลือบแคลงสงสัยให้เกิดมีในจิตใจเขาก็คือ ถึงแม้เขาจะตั้งใจทำหน้าที่ดูแลทุกข์สุขของประชาชนเท่าไร ก็ดูเหมือนว่าประชาชนจะไม่ได้เป็นสุขตามที่เขามุ่งมั่นตั้งใจไว้แม้แต่น้อย
จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาได้หายหน้าไปจากปรางค์กู่ร่วมสองสัปดาห์เห็นจะได้ ไม่มีใครล่วงรู้ว่าเขาหายไปไหน แต่ก็มีเสียงเล่าลือจากชาวบ้านหนาหูถึงสาเหตุที่เขาหายไป บ้างก็ว่าเขาถูกแม่มดหมอผีจับตัวไป บ้างก็บอกเขาคงถูกวัยรุ่นในพื้นที่รุมทำร้ายจนไม่ได้สติ ต่างคนต่างใส่สีตีไข่กันไปต่าง ๆ นานา โดยมูลเหตุแห่งเรื่องเล่าทั้งมวลที่บังเกิดขึ้นก็เพราะเมื่อเขากลับมาหลังจากที่หายหน้าไปนานหลายวัน เขาก็เริ่มมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป...
นับแต่วันนั้นมา ทุกหน้าแล้งที่คนส่วนใหญ่นอนอยู่กับเหย้าเฝ้าอยู่กับบ้านด้วยจิตใจห่อเหี่ยวรอคอยให้ถึงช่วงเวลาที่หน้าฝนจะมาเยี่ยมเยือน แต่เขากลับตระเวนขับมอเตอร์ไซค์ไปตามพื้นที่สาธารณะต่าง ๆ เพื่อมองหาเมล็ดพันธุ์พืชมาเก็บสะสมไว้เพื่อเตรียมนำไปปลูกในหน้าฝนที่กำลังจะมาถึง
เมื่อฤดูร้อนแล้งสิ้นสุดลง ความชุ่มฉ่ำของต้นฤดูฝนได้เข้ามาแทนที่ ก็ถึงเวลาที่เขาจะเริ่มลงมือทำกิจวัตรที่ชาวบ้านทุกคนมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระและมีแต่คนบ้าเท่านั้นที่จะทำ โดยเขาจะขับมอเตอร์ไซค์เข้าไปตามพื้นที่ซึ่งขาดความเขียวชอุ่มของสุมทุมพุ่มไม้ ไม่ว่าจะเป็นในที่ดินของคนอื่นหรือที่ดินสาธารณะ ก่อนจะลงมือปลูกทุกอย่าง ที่ได้เคยหาเก็บสะสมไว้ลงไปในที่ดินบริเวณนั้น ๆ ซึ่งเมล็ดพันธุ์บางอย่างบ้างก็เจริญเติบโตได้ดี แต่บางอย่างเมื่อสิ้นฤดูฝนก็เฉาตายไปเพราะทนต่อสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายทารุณไม่ไหว
แต่บางครั้งเมล็ดพันธุ์ที่เจริญเติบโตได้ดีก็ใช่ว่าจะอยู่รอดปลอดภัยเสมอไป...
ดังที่ครั้งหนึ่ง หลังเขาว่างจากภาระงานประจำ เขาก็มักจะคอยแวะเวียนไปดูการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ ๆ เพียงแต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกับทุก ๆ ครั้งที่ไป เพราะในขณะที่เขาขับมอเตอร์ไซค์คันเก่งคู่ใจเพื่อไปดูผลผลิตที่เขาอุตส่าห์ทุ่มเทบ่มเพาะไว้ เขาก็ต้องพบกับภาพอันน่าประหลาดใจระคนกับความเศร้าสะเทือนใจ เมื่อเมล็ดพันธุ์ที่กำลังเริ่มแตกหน่อออกใบได้ถูกเผาทำลายและบางส่วนถูกตัดจนเหี้ยนไม่มีชิ้นดี ซึ่งนั่นเกิดจากน้ำมือของผู้ที่ไม่รู้ค่าและไม่เข้าใจถึงเจตนาที่แท้จริงของเขา เห็นต้นไม้เหล่านั้นเป็นเพียงสิ่งรกหูรกตากีดขวางเส้นทางสัญจร
“เหตุใดสิ่งที่เราสร้างมาด้วยหัวใจ กลับต้องมาถูกทำลายเพราะคนที่ไม่เห็นค่า” เขาตัดพ้อขึ้นมาอย่างเจ็บปวด ขณะที่ดวงตาซึ่งกำลังจับจ้องภาพ ณ เบื้องหน้าเริ่มพร่ามัว น้ำตาเอ่อไหลลงอาบหน้าโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว
ถึงเขาจะสะท้านสะเทือนใจมากเพียงไรแต่ก็หาได้ทำให้เขาสิ้นหวังกำลังใจไม่
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา เขาเริ่มเรียนรู้ว่าการปลูกต้นไม้ที่แท้จริงไม่ใช่จะมีเพียงอุดมการณ์แล้วคิดจะปลูกอะไรก็ปลูกไปเรื่อย เพราะการทำเช่นนั้นก็เหมือนดังคนบ้าที่เพียรตักน้ำไปเติมลงในมหาสมุทรที่เติมเท่าไรก็ไม่มีวันเต็ม ทำไปก็เปล่าประโยชน์ แต่การปลูกต้นไม้ที่แท้จริงซึ่งเมื่อจะหยั่งรากลึกลงแล้วก็ไม่มีวันสั่นคลอนได้นั้น ก็คือการปลูกต้นไม้ในหัวใจคน
เขากลับไปดูสถานที่เกิดเหตุซ้ำอีกครั้ง เฝ้าสังเกตดูว่ามีพืชพันธุ์ชนิดใดที่ยังเหลือรอดชีวิตอยู่บ้าง ปรากฏว่ามี อยู่หลายชนิดทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นต้นตาลโตนด ต้นคูน หรือกระทั่งต้นยางนา ที่ยังยืนหยัดอยู่ได้ ถึงแม้จะโดนทั้งการตัดเผาทำลาย หรืออยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายก็ตาม
เขาจึงตั้งปณิธานกับตัวเองอีกครั้งพร้อมกับตั้งคำขวัญที่เพิ่งแต่งขึ้นมาในใจขณะนั้นว่า...
ปรางค์กู่จะต้องอยู่ในป่ายาง
กลางดงตาลบานสะพรั่งดอกคูน
บริบูรณ์ด้วยพืชสวน นา ป่า
เขากลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หากคราวนี้เขาไม่ได้นำเมล็ดพันธุ์พืชทุกชนิดที่หาได้มาลงปลูก แต่เขาใช้เฉพาะเมล็ดพันธุ์ซึ่งเป็นพันธุ์ที่แข็งแรงทนทานต่อสภาพดินฟ้าอากาศและการถูกทำลายเท่านั้น
เมล็ดพันธุ์แต่ละเมล็ดที่เขาได้เลือกสรรแล้วถูกนำมาลงปลูกเหมือนเช่นที่เขาเคยทำ จนกระทั่งเมื่อมันเริ่มเจริญเติบโตงอกงาม ก็มักมีคนคิดที่จะตัดทำลายเหมือนเช่นที่ผ่านมา แต่เขาก็ไม่ได้น้อยเนื้อต่ำใจหรือโกรธเคือง นั่นเพราะเขารู้ดีว่าไม่ช้านานมันก็จะแตกกิ่งก้านสาขาขึ้นมาใหม่ หรือเมื่อมีคนมาโค่นทิ้งเสียทั้งต้น เขาก็จะลงมือปลูกขึ้นใหม่อีกครั้งจนกระทั่งคนที่จ้องจะทำลายเบื่อหน่ายและล่าถอยไปเอง
เขาทำเช่นนี้จนเริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักและพูดถึงของผู้คนมากหน้าหลายตา จนมีเรื่องเล่าติดตลกที่ขำ ไม่ค่อยจะออกเล่ากันว่า ชาวบ้านบางคนมักนำวีรกรรมของเขาไปใช้หลอกลูกหลานเพื่อให้อยู่ในโอวาท
“หยุดร้องไห้เสียที...นั่น ๆ ดูนั่นแน่ะ! ตำรวจบ้าเดินมาโน่นแล้ว ถ้าไม่เลิกร้องระวังจะถูกจับไปปลูกต้นไม้กลางแดดกลางฝนไม่รู้ด้วยนะ”
ซึ่งมันก็มักใช้ได้ผลเสียด้วยสิ....
จากกล้าต้นน้อยผ่านไปสิบปี บัดนี้กลายเป็นไม้ยืนต้นที่หยั่งรากลึกแผ่กิ่งก้านสาขาหนาทึบไปทั่วบริเวณ
จากวันนั้นจนถึงวันนี้เขาได้ปลูกต้นไม้ในปรางค์กู่ไปแล้วกว่าสามล้านต้น ทั้งต้นตาลโตนด ต้นคูน ต้นขี้เหล็ก และอีกสารพัดจะเอ่ยนาม ซึ่งต้นไม้ทั้งหมดบัดนี้ได้กลายมาเป็นอาหารและผลผลิตของชาวบ้าน อีกทั้งยังเป็นแหล่ง ที่อยู่อาศัยของสัตว์น้อยใหญ่...
“อย่างเช่นตาลโตนดต้นนี้ที่ข้าได้มาอาศัยสร้างรัง รวมทั้งตาลโตนดต้นที่เจ้าสองตัวกำลังแย่งชิงกันอยู่นี้ด้วย ซึ่งก็ล้วนก่อให้เกิดประโยชน์และความร่มเย็นเป็นสุขแก่ทุก ๆ สรรพชีวิตให้ได้พึ่งพิงอิงอาศัยอย่างแท้จริง”
“แล้วตอนนี้ยังมีคนกล่าวหาว่าเขาเป็นตำรวจบ้าอยู่หรือไม่ท่านนกกระจาบ”กระรอกตัวสองถามขึ้น
“ไม่มีใครกล่าวว่าเขาเช่นนั้นอีกแล้วล่ะเจ้าหนู นั่นก็เพราะทุกคนล้วนต่างรู้แล้วว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เขาไม่ได้ทนเหนื่อยยากลำบากกายไปเพื่อตนเอง แต่เขาทำไปโดยหวังเพียงสักวันหนึ่ง ต้นไม้ที่เขาปลูกจะกลายมาเป็นผลตอบแทนให้กับทุกคน ซึ่งพวกเจ้าทั้งสองเชื่อหรือไม่ว่ามิใช่เพียงแต่ต้นไม้ที่ปลูกลงในดินเท่านั้นที่เจริญงอกงามขึ้นมา หากบัดนี้ต้นไม้ที่เขาได้ปลูกไว้ในจิตใจของชาวบ้านก็ได้เติบโตด้วยเช่นกัน โดยที่พวกเขาไม่ทันรู้ตัวเสียด้วยซ้ำ”
“แล้วตอนนี้ชายคนนั้นยังคงปลูกต้นไม้อยู่เหมือนเดิมหรือไม่ท่านนกกระจาบ” กระรอกตัวแรกถามขึ้นบ้าง ก่อนแสดงสีหน้าชวนฉงน
“ไม่ต้องสงสัยเลย ยังคงปลูกอยู่ทุกวันนั่นล่ะ” นกกระจาบอาวุโสหัวเราะสั้น ๆ ในลำคอ
“ช่างน่าสงสารเหลือเกิน...แม้อายุจะมากขึ้นก็ไม่ได้ทำให้เขาเหนื่อยน้อยลงเลย” กระรอกตัวแรกเปรยขึ้นมา
นกกระจาบอาวุโสนิ่งคิดชั่วครู่หนึ่ง ก่อนที่มันผายปีกขึ้นแล้วชี้ไปที่แคร่ไม้ไผ่ซึ่งอยู่ถัดออกไปไม่ไกลมากนัก ที่ตรงนั้นคุณลุงหน้าตาใจดียังคงนั่งอยู่ โดยที่รอบตัวของเขามีเด็กน้อยหน้าตาน่าเอ็นดูหลายคนเข้ามาห้อมล้อมและส่งยิ้มหวานอีกนัยน์ตาเป็นประกายขณะมองดูเมล็ดพืชเมล็ดเล็ก ๆ ซึ่งคุณลุงได้หยิบใส่ไว้ในมือของเด็กน้อยแต่ละคน
“เขาจะเหนื่อยเท่าเดิมได้อย่างไรกันเล่า ในเมื่อวันนี้เขามีลูกสมุนน้อย ๆ ที่บ้าปลูกต้นไม้มากมายถึงเพียงนี้”
(ผลงานเรื่องสั้นชิ้นนี้ได้แรงบันดาลใจจากเรื่องจริงของ ร.ต.ต.วิชัย สุริยุทธ ผู้ปลูกต้นไม้มากกว่าสามล้านต้นในอำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ ดินแดนที่เคยจัดว่าแห้งแล้งที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย ให้กลับมาร่ำรวยด้วยทรัพยากรป่าไม้ และเป็นผู้ที่ตั้งปณิธานไว้ว่าจะขอปลูกต้นไม้ไปจนกว่าจะหมดลมหายใจ)
ติดตามเรื่องราวดีๆ อัพเดท สื่อเป็นโรงเรียนของสังคม ที่แฟนเพจ สื่อเป็นโรงเรียนของสังคม ที่นี่
ชั้น 16 อาคารพญาไทพลาซ่า 128/177 ถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร 10400
16th Fl., Phayatai Plaza, 128/177 Phayathai Rd., Rajthevee, Bangkok 10400 Thailand
โทรศัพท์ : 02-298-0987-8 โทรสาร : 02-298-0989
อีเมล : [email protected]