เปิดตำรับยา “สมุนไพร” แก้ท้องร่วง ดูแลสุขภาพช่วงหน้าร้อน

        หมอแผนไทย เปิดตำรับยา “สมุนไพร” แก้ปัญหาโรคท้องร่วง ดูแลสุขภาพช่วงหน้าร้อน เผย “ยามหาจักร” แก้อาการท้องเสียชนิดติดเชื้อ

       นพ.ปราโมทย์ เสถียรรัตน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า เมื่อประเทศไทยเข้าสู่ช่วงหน้าร้อน พบว่า ประชาชนมักจะป่วยด้วยโรคท้องร่วง สาเหตุเนื่องจากการรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่ถูกสุขลักษณะมีเชื้อโรคปนเปื้อน ตำรับยาแผนไทยที่อยากจะแนะนำให้ประชาชนมีไว้ประจำบ้าน หรือพกติดตัวไว้ใช้เมื่อเกิดอาการท้องร่วง คือ ตำรับยาที่ใช้สมุนไพรรสฝาด ซึ่งสมุนไพรส่วนใหญ่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรค เช่น ยาธาตุเด็กและยามันทธาตุ ใช้แก้อาการท้องเสีย ร่วมกับอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แก้ปวดมวนท้อง แก้บิดมูกเลือด ยาธาตุบรรจบ และยาเหลืองปิดสมุทร ใช้แก้อาการท้องเสียชนิดไม่ติดเชื้อและท้องเสียชนิดไม่มีไข้ ยามหาจักร ใช้แก้อาการท้องเสียชนิดติดเชื้อ เช่น อุจจาระมีสีเขียว กลิ่นบูดเปรี้ยวเป็นฟอง

       สำหรับผลไม้ที่มีสรรพคุณแก้อาการท้องร่วง สมุนไพรรสฝาดมีสารแทนนิน มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย ได้แก่ กล้วยน้ำว้า เลือกใช้ผลดิบ นำมาหั่นและตากแห้ง หลังจากนั้น ให้บดเป็นผงแป้ง โดยใช้ในปริมาณ 10 กรัมต่อครั้งใน การชงดื่มแก้อาการท้องร่วง วิธีการปฏิบัติตัวเมื่อเกิดอาการท้องร่วง ส่วนใหญ่อาการจะหายได้เองโดยการรักษาอาการขาดน้ำและเกลือแร่ ด้วยการดื่มน้ำมากๆ ในระหว่างท้องร่วงให้รับประทานอาหารอ่อนที่ย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก แกงจืด และไม่ควรงดอาหาร เพื่อป้องกันการขาดสารอาหาร ไม่ควรรับประทานอาหารรสเผ็ดจัด เป็นต้น

       “การป้องกันจากโรคท้องร่วงนั้น ประชาชนควรเลือกรับประทานอาหารที่ปรุงสุก ใช้วัตถุดิบที่สด สะอาด ปราศจากแมลงวันตอม หรือสัมผัสกับฝุ่นละออง หากต้องการเก็บอาหารที่เหลือจากรับประทาน ควรเก็บไว้ในตู้เย็นและนำมาอุ่นร้อนทุกครั้งก่อนรับประทาน ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่คุ้นเคย เช่น อาหารทะเลบางชนิด ผักและผลไม้ควรล้างให้สะอาดก่อนรับประทานทุกครั้ง ดื่มน้ำสะอาด ต้มสุก หากต้องดื่มน้ำนอกบ้าน ควรเลือกดื่มน้ำเปล่าที่ใส่ในบรรจุภัณฑ์ที่สะอาด ฝาปิดผนึกเรียบร้อย และควรล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนเตรียมอาหาร รับประทานอาหารและหลังจากเข้าห้องน้ำ เพื่อให้ถูกสุขลักษณะจะได้ไม่ป่วยเป็นโรคท้องร่วงในช่วงหน้าร้อนนี้” นพ.ปราโมทย์ กล่าว

ที่มาของข่าว :  http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9600000039619